จับสัญญาณชิงเก้าอี้นายกบอลไทย โหมโรงก่อนเลือกตั้งชี้ชะตาอนาคต

กลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองในวงการฟุตบอลไทย สำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนใหม่ หลังจาก “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมคนปัจจุบันที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 กำลังจะหมดวาระลงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567

แม้ว่ายังเหลือระยะเวลาอีกนานหลายเดือน แต่ตอนนี้เริ่มมีการโหมโรงก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงปีหน้ากันแล้ว รวมทั้งยังมีผู้ที่คร่ำวอดในวงการฟุตบอลไทยที่เปิดหน้าพร้อมชิงเก้าอี้ประมุขลูกหนังไทย ทั้ง “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคม และ “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ตำนานทีมชาติไทย

สำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศ และสภากรรมการบริหารชุดใหม่ จะมีขึ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งตามข้อบังคับสมาคมจะต้องจัดเลือกตั้งภายในเวลา 3 เดือนหลังนายกสมาคมคนปัจจุบันหมดวาระ

ในส่วนของรายละเอียดของการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตามระเบียบของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้กำหนดให้สามารถดำรงตำแหน่งได้ 3 วาระ 12 ปี เพียงเท่านั้น ไม่สามารถเป็นต่อได้อีก และในวันเลือกตั้ง ผู้ลงสมัครต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปี

นอกจากนี้ ยังต้องตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากสโมสรสมาชิกขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง 1 ปี โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมาดูแลจัดการเลือกตั้งโดยเฉพาะ หลังจากที่ผ่านมา เมื่อมีการเลือกตั้ง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะให้ฝ่ายเลขาธิการจัดการเลือกตั้ง

 

 

“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ

สําหรับ พล.ต.อ.สมยศ ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มาแล้ว 2 สมัย โดยขณะนี้อยู่ช่วงสมัยที่ 2 ซึ่งเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 และจะหมดวาระในปี 2567 ซึ่งตามระเบียบฟีฟ่าดังกล่าว หาก “บิ๊กอ๊อด” จะลงชิงเก้าอี้นายกสมัยที่ 3 ก็ยังสามารถทำได้ เพราะจะอายุครบ 70 ปี ในวันที่ 28 ธันวาคม 2567

อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศเคยแสดงท่าทีว่าสนับสนุน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย และประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ให้เป็นนายกสมาคม เพราะมองว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม แต่มาดามแป้งก็ยังไม่ตอบรับ หรือปฏิเสธเช่นกัน

ล่าสุด “มาดามแป้ง” กล่าวถึงกรณีนี้ว่า จริงๆ ก็รู้จักกับทุกคนเป็นอย่างดี นายวรวีร์ก็เป็นคนทำให้เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิง ส่วน พล.ต.อ.สมยศก็ให้เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาย ซึ่งคนที่จะมาเป็นนายกสมาคมจะต้องเจอความกดดัน ปัญหา และอุปสรรคมากมาย แต่ก็มีสิ่งดีๆ เช่นกัน เช่น ถ้าทำให้เกิดความโปร่งใส พัฒนาทีมชาติไปสู่ระดับเอเชียได้

“ส่วนตัวค่อนข้างคิดหนัก บางคืนก็สนใจ บางคืนก็คิดว่าเป็นผู้จัดการทีมดีแล้ว แต่ก็มีพี่น้องหลายคน หลายสโมสร โทร.มาสอบถามว่าจะลงหรือไม่ ก็คงต้องขอเวลาคิดดูก่อน เพราะไม่อยากจะเอาตัวไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ต้องคุยกับทั้งพี่ยี และพี่อ๊อด รวมถึงคุยกับสโมสรด้วย และมีหลายเรื่องต้องคุยให้ขาดเพราะยังเป็นประธานสโมสรด้วย”

มาดามแป้งกล่าวอีกว่า ตัวเองเป็นคนในวงการฟุตบอลมา 17 ปี มีความตั้งใจ และพร้อมเสมอ มีแพสชั่นในการทำงานเพื่อทีมชาติไทย และมีความฝันอยากพาบอลไทยไปบอลโลกให้เป็นประวัติศาสตร์ แต่ทั้งหมดก็ต้องดูสภาพร่างกาย เพราะแค่เป็นผู้จัดการทีมยังใช้พลังมากเหมือนกัน

“บังยี” วรวีร์ มะกูดี

นอกจาก “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ แล้วยังมี “บังยี” วรวีร์ มะกูดี และ “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ก็เปิดตัวพร้อมกับโชว์นโยบายออกมาแล้วกับการชิงตำแหน่งเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ทวงคืนมาจาก “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ดำรงตำแหน่งมายาวนานตั้งแต่ปี 2559

“บังยี” เปิดเผยว่า ช่วงเวลา 5-7 ปีที่ผ่านมา วงการฟุตบอลไทยถอยหลัง เราไม่ได้เดินไปข้างหน้า ถ้าตนเองได้กลับเข้ามา เงื่อนไขเดิมคือปีละ 20 ล้านก็ต้องกลับมามอบให้ทุกสโมสร ไม่ใช่ลดลงไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจว่าผู้บริหารชุดปัจจุบันทำไมไม่แก้ปัญหา ปล่อยให้ทำร้ายจิตใจแฟนบอลทำไม

“ผมพูดเลยว่า ถ้ามีใครที่เหมาะสมเข้ามาร่วมมือกัน มาคุยกัน ผมอยู่ข้างหลังได้ ผมดีใจที่เห็นตุ๊กเข้ามาแล้วคนหนึ่ง เพราะเราเป็นนักฟุตบอล เราจะปล่อยให้ฟุตบอลมันตกต่ำแบบนี้ไม่ได้ หลังจากผมประกาศว่าผมจะกลับมา สโมสรต่างๆ โทร.มาหา โทร.มาเรียกร้องเรื่องนั้นเรื่องนี้ จริงๆ ผมไม่ได้อยากกลับมาถ้ามันดีอยู่แล้ว”

ส่วนกรณีเรื่องอายุที่ข้อบังคับของสมาคมระบุว่าห้ามเกิน 70 แต่ตอนนี้บังยีอายุ 72 ปีแล้วนั้น ก็เตรียมที่จะยื่นขอคุ้มครองจากศาล เพราะข้อบังคับดังกล่าวไม่เป็นธรรม เป็นการกีดกัน เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมในกรณีนี้

“เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

ขณะที่ “เดอะตุ๊ก” ประกาศเป้าหมายหลักจะพาทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ไปลุยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายให้ได้ใน 4 ปี เพราะงานเล็กๆ คนอื่นเขาทำไปหมดแล้ว จึงขอวางเป้าหมายใหญ่ๆ เลย ต้องฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง คิดว่ายากไหม อาจจะยากสำหรับคนอื่น แต่ไม่ยากสำหรับตัวเขา

ปิยะพงษ์กล่าวถึงแผนงานโครงสร้างว่า ต้องทำโดยวัฒนธรรมของฟุตบอลจริงๆ ซึ่งดูต้นแบบจากญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ที่เอาคนรู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลเข้ามาบริหาร และการวางรากฐานให้แก่เด็กๆ ตั้งแต่อายุ 8-12 ปี ขณะที่ทีมชาติชุดใหญ่ควรจะต้องมีแผนงานระยะสั้น-กลาง-ยาว สู่การไปลุยฟุตบอลโลก

ด้านทีมงานบริหารสมาคมควรจะมีนักฟุตบอลระดับตำนานทั้งรุ่นก่อน หลัง และรุ่นเดียวกับเดอะตุ๊ก ทั้ง เฉลิมวุฒิ สง่าพล, วรวรรณ ชิตะวณิช, ถิรชัย วุฒิธรรม รวมถึงรุ่นน้องทั้ง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ธชตวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค, ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล รวมถึง ธีรเทพ วิโนทัย เข้ามาร่วมกันทุกองคาพยพ

“เรื่องสำคัญมากในการพัฒนาผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน ตรงนี้สมาคมจะเข้าไปแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในการก้าวไปสู่ผู้ฝึกสอนระดับรากหญ้า จะต้องฟรี ส่วนการก้าวไปสู่ความเป็นเลิศแต่ละคนต้องจ่ายกันเอง ส่วนเรื่องสภาพสนามทั้งการฝึกซ้อมและใช้แข่งขันในทุกระดับจะต้องดีมีมาตรฐานครับเรียบน่าเล่น” เดอะตุ๊กกล่าว

 

ถือว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการแย่งชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

ซึ่งแม้ว่าจะยังเหลือเวลาอีกพอสมควร

แต่ก็เริ่มมีการเดินเกมหาเสียงจากเหล่าสโมสรสมาชิกของสมาคม

ซึ่งทุกเสียงจะเป็นผู้ชี้ชะตาตัดสินอนาคตของวงการฟุตบอลไทยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางข้างหน้าอย่างไร

ดังนั้น ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปจะต้องจับสัญญาณการแย่งชิงเก้าอี้นายกฟุตบอลไทยกันอย่างห้ามกะพริบตา! •

 

 

เขย่าสนาม | เมอร์คิวรี่

[email protected]