นาโปลีกับ 33 ปีที่รอคอย

ก่อนหน้าฤดูกาลนี้ สโมสร นาโปลี เคยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา ลีกสูงสุดของอิตาลีมา 2 ครั้ง ในฤดูกาล 1986-1987 และ 1989-1990

นาโปลียุคนั้นมี ดิเอโก้ มาราโดน่า ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์เป็นกำลังหลักของทีม ในช่วงที่ “เสือเตี้ย” กำลังพีกถึงขีดสุดด้วยการพาทีมฟ้า-ขาวคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1986 มาครอง และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวเมืองเนเปิลส์รัก ผูกพัน และเทิดทูนมาราโดน่าเป็นอย่างมาก ถึงขั้นเปลี่ยนชื่อสนามเหย้าเป็น “สตาดิโอ ดิเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า” เมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 เพื่อเป็นเกียรติแก่ตำนานแข้งชาวอาร์เจนไตน์ เพียง 9 วันหลังการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเขา

ภายหลังประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ไม่นาน ช่วงเวลาแห่งความสุขของนาโปลีก็ถูกตัดจบอย่างปุบปับ โดย 1 ปีให้หลังคว้าแชมป์สมัยที่สอง นักเตะตัวหลักหลายคนทยอยลาทีมไป ทำให้ฟอร์มเริ่มดร็อปลง

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือการลาทีมของมาราโดน่า หลังจากเขาไม่ผ่านการตรวจสารเสพติดจนถูกแบน 15 เดือน และต้องลาทีมและประเทศอิตาลีไปอย่างอื้อฉาวในปี 1992

 

หลังจากนั้นผลงานของนาโปลีก็เริ่มดิ่งลงเรื่อยๆ ทีมตกชั้นจากเซเรียอาในปี 1998 หลังจากเก็บชัยชนะได้เพียง 2 นัด และทำได้เพียง 14 แต้มจากการลงเล่น 34 นัดตลอดฤดูกาล

แม้จะกลับไปเล่นในเซเรียอาได้ในฤดูกาล 2000-2001 แต่ก็ตกชั้นอย่างรวดเร็วในปีถัดมา ซ้ำร้ายสโมสรยังประกาศภาวะล้มละลายเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จนร่วงไปอยู่เซเรียซีซึ่งถือเป็นการเล่นในลีกดิวิชั่นต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ทีม

แต่ไม่ว่าผลงานในสนามหรือสถานการณ์นอกสนามของทีมจะตกต่ำขนาดไหน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือกำลังใจจากแฟนบอลชาวเมืองเนเปิลส์

ดังปรากฏภาพแฟนบอลร่วม 60,000 คนเข้าไปชมและเชียร์ทีมรักของพวกเขาแน่นสนามไม่ว่าจะเตะกับทีมเล็กเพียงใดก็ตาม

 

ดานิเอเล่ เบลลินี่ โฆษกประจำสนามเหย้าของนาโปลี บอกว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวเนเปิลส์รักสโมสรฟุตบอลของพวกเขามากขนาดนี้เพราะนาโปลีคือสโมสรหลักหนึ่งเดียวของพวกเขา ต่างจากเมืองที่มีทีมเตะในเซเรียอาหลายๆ เมือง เพราะไม่ว่าจะเป็นมิลาน ตูริน โรม หรือเจนัว ต่างก็มี 2 ทีม เมื่อเทียบกันแล้ว เนเปิลส์เป็นเมืองที่ใหญ่มากๆ ของอิตาลี แต่มีสโมสรฟุตบอลเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียว นั่นจึงทำให้ชาวเมืองผูกพันกับทีมเป็นอย่างมาก

และแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ยากลำบากของทีม นาโปลีก็ค่อยๆ ตั้งหลักกลับมาได้ เริ่มจาก *ออเรลิโอ เด ลอเรนติส* โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อดังของอิตาลี เข้าไปเทกโอเวอร์สโมสรในปี 2004 โดยให้คำมั่นว่าจะพาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

เพียง 3 ปีให้หลัง นาโปลีก็เลื่อนชั้นกลับสู่เซเรียอา และได้ไปเตะฟุตบอลถ้วยยุโรปในปีที่ 2 ของการกลับสู่ลีกสูงสุด

กล่าวกันว่า ด้วยการบริหารงานแบบเข้มงวด ไม่ยอมใครของเด ลอเรนติส ทำให้บรรยากาศระหว่างเขากับแฟนบอลค่อนข้างคุกรุ่น โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นค่าตั๋วเข้าชมการแข่งขัน

แต่เมื่อทีมประสบความสำเร็จ สถานการณ์เหล่านี้ก็เริ่มสงบลงไปบ้าง

 

อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ คือ คริสเตียโน่ กินโตลี่ ที่เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรในปี 2015

กินโตลี่มีส่วนในการบริหารจัดการเรื่องการซื้อขายนักเตะ และดึงผู้เล่นที่ต่อมาเป็นหัวใจสำคัญของทีมยุคปัจจุบันเข้าทีม ไม่ว่าจะเป็น วิกเตอร์ โอซิมเฮน, ควีวา ควารัตสเคเลีย, คิม มินแจ, โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, ปิโอเตร ซีลินสกี้, ฟาเบียน รุยซ์

โดยเฉพาะในรายของโอซิมเฮน ที่ตอนนี้กลายเป็นกองหน้าเนื้อหอมที่อาจอัพค่าตัวได้เกิน 100 ล้านยูโร จากที่นาโปลีซื้อเขาจากลีลล์ในราคา 75 ล้านยูโร

อีกคนที่ลืมไม่ได้คือ กุนซือ ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ ซึ่งเข้าไปคุมทีมในปี 2021

เขาขึ้นชื่อว่าเป็นโค้ชที่ทำทีมให้เล่นฟุตบอลสวยงาม แต่มักทำได้ไม่ดีในช่วงสำคัญๆ เสมอ กระทั่งทุกอย่างมาลงตัวกับลูกทีมชุดปัจจุบัน จึงกลายเป็นความสำเร็จของทีมในที่สุด

ขณะที่เมืองเนเปิลส์ก็ถูกย้อมด้วยสีและธงประจำสโมสรกันแบบข้ามวันข้ามคืน และน่าจะต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนให้สมกับการรอคอยที่ยาวนานถึง 33 ปีเต็ม •

 

 

Technical Time-Out | SearchSri