มาร์คัส แรชฟอร์ด ทางเลือกสโมสร VS ทีมชาติ

มาร์คัส แรชฟอร์ด ทางเลือกสโมสร VS ทีมชาติ

 

เรื่องการแบ่งเวลาและความทุ่มเทระหว่างสโมสรกับทีมชาตินั้น เป็นประเด็นที่นักเตะอาชีพหลายคนต้องเจอตลอดชีวิตการค้าแข้ง

โดยเฉพาะเมื่อระดับสโมสรอาจมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ หรือได้แชมป์ถี่กว่าในระดับทีมชาติซึ่งมีถ้วยใหญ่ให้เตะกันนานๆ ครั้ง

สำหรับนักเตะฝีเท้าดีที่มีลุ้นประสบความสำเร็จทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ นี่จึงเป็นด่านทดสอบสำคัญว่าเขาจะทำได้ดีทั้ง 2 บทบาทหรือไม่

หรือควรจะให้น้ำหนักกับด้านใดด้านหนึ่งเป็นหลัก

 

มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าทีมชาติอังกฤษของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นนักเตะคนสำคัญที่กำลังอยู่ท่ามกลางความคิดเห็นทั้ง 2 ฝั่ง ณ เวลานี้

แรชฟอร์ดเพิ่งถอนตัวจากทีมชาติอังกฤษชุดทำศึก ยูโร 2024 รอบคัดเลือก กับอิตาลีและยูเครน กลางเดือนมีนาคม เนื่องจากปัญหาบาดเจ็บ

จากนั้นเดินทางไปพักผ่อนที่นิวยอร์กกับแฟนสาว ก่อนจะกลับไปยังสโมสรเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

ตอนที่เขาลงรูปท่องเที่ยวรัวๆ นี้เองที่ทำให้แฟนบอลสิงโตคำรามส่วนหนึ่งไม่พอใจ มองว่าในเมื่อแรชฟอร์ดถอนตัวเพราะอ้างเรื่องบาดเจ็บ เหตุใดจึงไม่โฟกัสที่การฟื้นฟูร่างกาย แต่กลับไปเที่ยวสนุกถึงอเมริกา

ข้างฝั่งแฟนบอลปีศาจแดงก็ออกมาตอบโต้โดยบอกว่า แรชฟอร์ดควรห่างๆ จากทีมชาติอังกฤษไปสักพัก จนกว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต จะไม่ได้คุมทีมแล้ว

เพราะที่ผ่านมา เซาธ์เกตไม่ได้ให้เกียรติหรือให้ความสำคัญกับแรชฟอร์ดเท่าที่ควร

 

ย้อนไปก่อนศึก ยูโร 2020 แรชฟอร์ดยอมยืดเวลาผ่าตัดรักษาอาการเจ็บไหล่ เพื่อจะได้ติดทีมสิงโตไปช่วยลุ้นแชมป์

แต่เอาเข้าจริงๆ เขากลับแทบไม่ได้รับโอกาสลงสนาม เช่นเดียวกับช่วง ฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา

แม้แต่บทสัมภาษณ์ล่าสุดของเซาธ์เกตก็ยังเป็นเชิงแบ่งรับแบ่งสู้ว่าช่วงที่ผ่านมาแรชฟอร์ดฟอร์มไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้เขากลับมาฟอร์มดีแล้ว หวังว่าเขาจะรักษาฟอร์มดีต่อเนื่องเพื่อเป็นกำลังสำคัญของทีมในอนาคต

ส่วนเรื่องที่แรชฟอร์ดไปเที่ยวนิวยอร์กหลังถอนตัวทีมชาตินั้น เซาธ์เกตยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะนั่นเป็นสิทธิและเวลาส่วนตัวของนักเตะแต่ละคน เชื่อว่าลูกทีมคนอื่นๆ เมื่อหมดโปรแกรมทีมชาติก็คงแยกย้ายไปท่องเที่ยวพักผ่อนเช่นกัน

จากบทสัมภาษณ์ข้างต้น แฟนบอลปีศาจแดงหลายคนมองว่า ไม่ว่าแรชฟอร์ดจะทำผลงานระดับสโมสรได้ดีขนาดไหน เขาก็คงไม่ค่อยเป็นที่ถูกใจของเซาธ์เกตนักอยู่ดี และน่าจะให้ความสำคัญกับสโมสรมากกว่า จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโค้ชสิงโตคำราม

ต้องยอมรับว่าปัญหาหนึ่งของแรชฟอร์ดในช่วงที่ผ่านๆ มา คือฟอร์มที่อาจจะวูบวามไม่สม่ำเสมอนัก แม้ว่าถ้าแจกแจงกันจริงๆ จะไม่ได้แย่เลยก็ตาม ยกเว้นซีซั่นที่แล้ว

ฤดูกาล 2019-2020 เขาลงสนาม 44 นัดในทุกถ้วย ยิงไป 22 ประตู กับ 12 แอสซิสต์ / ฤดูกาล 2020-2021 ลงเล่น 57 นัด ยิง 21 ประตู 15 แอสซิสต์ / ฤดูกาล 2021-2022 ลงเล่น 32 นัด ยิง 5 ประตู 2 แอสซิสต์

กระทั่งมาฤดูกาลนี้ หลังจากแมนฯ ยูได้ อีริก เทน ฮาก มาคุมทีม สถานการณ์ของทีมก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ กุนซือชาวดัตช์ไม่เพียงช่วย “ปลุกผี” ฟอร์มการเล่นโดยรวมของทีมอย่างจริงจัง เขายังช่วยให้แรชฟอร์ดกลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงและน่าทึ่ง

ฤดูกาลนี้ยังเหลืออีก 2 เดือน แรชฟอร์ดลงสนามไปแล้ว 44 นัดในทุกถ้วย ยิงได้ถึง 27 ประตู กับ 9 แอสซิสต์ เฉพาะในพรีเมียร์ลีกอย่างเดียว เขายิงได้ 14 ประตู กับ 3 แอสซิสต์แล้ว

 

ภาษากายของแรชฟอร์ดสื่อสารให้รู้ว่า ที่ผ่านมาเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากโดยเฉพาะแรงกดดันด้านจิตใจช่วงที่ฟอร์มไม่ดีกับทีม รวมถึงโดนวิจารณ์ว่ามัวไปทุ่มกับเรื่องนอกสนามอย่างกิจกรรมเพื่อสังคมมากเกินไปจนบาลานซ์เรื่องการค้าแข้งไม่ดีพอ

แรชฟอร์ดใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งหลักกลับมาได้ และไปได้สวยกับสโมสร

แต่กับทีมชาตินั้น เหมือนยังมีกำแพงเป็นอุปสรรคที่ก้าวข้ามได้ยากอยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสที่จะได้รับจากกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่แฟนบอลบางคนมองว่ายังไม่ลดอคติกับดาวยิงแมนฯ ยู

จนกลายมาเป็นแรงกดดันตีกลับให้แรชฟอร์ดเพลาๆ เรื่องทีมชาติไปบ้าง หันมาให้ใจกับคนที่ให้ความสำคัญกับเขาในระดับสโมสรก่อนดีกว่า •

 

Technical Time-Out | SearchSri