‘มาดามแป้ง’ ลาทีมบอลยู-23 เอฟเฟ็กต์เขย่าลูกหนังไทย / เขย่าสนาม : เงาปีศาจ

เขย่าสนาม

เงาปีศาจ

 

‘มาดามแป้ง’ ลาทีมบอลยู-23

เอฟเฟ็กต์เขย่าลูกหนังไทย

 

การตัดสินใจโบกมืออำลาทีมฟุตบอลไทยชุดยู-23 ปีของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ จากตำแหน่งผู้จัดการทีม มันสะเทือนวงการลูกหนังไทยพอสมควร

“มาดามแป้ง” นั่งทำงานในตำหน่งผู้จัดทีมชาติไทยชุดยู-23 ปี และทีมชาติชุดใหญ่มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาในแง่ของการทำงานนั้น “มาดามแป้ง” สอบผ่านแบบไร้ข้อกังขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาเรื่องตัวผู้เล่นที่ซ้ำซ้อนกับทีมชุดใหญ่ ทัวร์นาเมนต์ที่ทับซ้อนกัน รวมไปถึงเรื่องของความทุ่มเทในการดูแลนักเตะ สตาฟฟ์ และทีมงานทุกคน

ในแง่ของผลงานของทีมชุดใหญ่ถือว่าสอบผ่าน ด้วยการนำทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 และนำทีมชุดใหญ่เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลเอเชี่ยนคัพ 2023

แต่ทีมชุดยู-23 ปีต้องยอมรับว่า ผลงาน “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง ชวดแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่เวียดนาม ผ่านเข้ารอบสุดท้ายยู-23 ชิงแชมป์เอเชียแบบกระท่อนกระแท่น และสุดท้ายไปตกรอบแรกแบบไม่มีลุ้น

ทำให้ทีมชุดยู-23 ปีของไทยโดนแฟนบอลไทยวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับผลงานล้มเหลวแบบไม่เป็นท่า ซึ่งหมายรวมไปถึงตัวของ “มาดามแป้ง” เองก็โดนแฟนบอลโจมตีอย่างหนักเช่นกัน

 

ก่อนหน้านี้มีคำถามว่า “มาดามแป้ง” จะตัดสินใจอย่างไรต่อไปเพราะตัวเองโดนโจมตีจากแฟนบอลไทยพอสมควร แต่สุดท้ายเมื่อสัปดาห์ก่อน “มาดามแป้ง” เข้าพบหารือกับ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อหารือกรอบแนวทางการทำงานของทีมฟุตบอลไทยชุดยู-23 ปี และชุดใหญ่

นั่นเป็นการยืนยันอย่างดีว่า “มาดามแป้ง” จะยังคงทำหน้าที่ต่อไปในฐานะ “ผู้จัดการทีม” ทั้งทีมยู-23 ปี และทีมชุดใหญ่…

แต่มีข้อสรุปคราวนั้นจากที่ประชุมว่า จะยึดผู้เล่นดาวรุ่งอายุน้อยกว่ามาตรฐานคือ อาจจะใช้ผู้เล่นอายุ 21 ปีมาเล่นทีมยู-23 ปีเพราะต้องการพาทีมชาติไทยก้าวข้ามอาเซียน และใช้ระบบเหมือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไอเดียของ “บิ๊กอ๊อด” ที่ประกาศรับผิดชอบกับการตัดสินใจแนวทางการทำทีมดังกล่าวของทีมชุดยู-23 ปี หากผลงานไม่ดี แฟนบอลจะตำหนิให้มาตำหนิที่ตัวเองคนเดียว

นั่นเป็นการประกาศแอ่นอกออกตัวแทน “มาดามแป้ง” ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประมุขลูกหนังไทยคนปัจจุบัน

 

คล้อยหลังสัปดาห์เดียว จู่ๆ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เป็น “ขาใหญ่” สนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชุดปัจจุบัน ประกาศแบบฟ้าผ่าว่า จะไม่ปล่อยตัวนักเตะเยาวชนมาเล่นทีมชาติไทยอีกต่อไป

เนื่องจากตรวจพบว่า นักเตะเยาวชนของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กลับจากแคมป์ทีมชาติไทยในชุดยู -19 ปีของกุนซือ ซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย และชุดยู-16 ปี ของกุนซือ พิภพ อ่อนโม้ วินัยการเป็นนักฟุตบอลหย่อนยานลง

แถมยังไปตรวจพบว่า นักเตะกลุ่มดังกล่าวมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหลังกลับมาจากแคมป์ทีมชาติอีกด้วย จึงได้ลงโทษด้วยการห้ามลงฝึกซ้อมกับทีมเยาวชนบุรีรัมย์เป็นเวลา 3 สัปดาห์

การประกาศดังกล่าวของ เนวิน ชิดชอบ แง่หนึ่งถือว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้ความสำคัญเรื่องของวินัยนักเตะ แต่อีกแง่หนึ่งมันสะเทือนทีมฟุตบอลไทยทั้งระบบ…

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ เนวิน ชิดชอบ ประกาศออกมา “มาดามแป้ง” ยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงหา “บิ๊กอ๊อด” ทันที พร้อมกับการขอ “ลาออก” จากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทยชุดยู-23 ปี แต่ยังคงทำหน้าที่ในทีมชุดใหญ่ต่อไป

โดยให้เหตุผลเรื่องของสุขภาพ

 

วงในรู้กันดีว่า “มาดามแป้ง” คงกดดันพอสมควรที่จะต้องมาเจอปัญหาเรื่องตัวนักเตะที่จะเรียกมาติดธงชุดยู-23 ปี

อย่าลืมว่านักเตะบุรีรัมย์มีคุณภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทย แน่นอนว่าย่อมมีชื่อติดทีมกันจำนวนมาก และการไปขอนักเตะจากสโมสรอื่นจะกลายเป็นว่า บุรีรัมย์ยังไม่ปล่อยนักเตะ พวกเขาจึงอาจไม่ปล่อยตัวมาร่วมทีม นั่นเป็นปัญหาของการทำงานทีมชาติไทยอยู่แล้วที่ผู้จัดการทีม หัวหน้าโค้ช จะต้องขอตัวนักเตะจากสโมสรต่างๆ มารับใช้ทีมชาติ แต่ในเมื่อ “บุรีรัมย์ โมเดล” ประกาศชัดเจนแบบนี้ งานยังไม่เริ่มก็เจออุปสรรคขวากหนามแล้ว

ปีหน้าทีมชุดยู-23 ปีมีภารกิจฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน, ซีเกมส์ ครั้งที่ 32, เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่ประเทศจีน รวมไปถึงปรี-โอลิมปิก 2024 โซนเอเชีย ซึ่งล้วนแต่เป็นงานหนัก งานยาก

นั่นจึงเป็นอีกสาเหตุที่ “มาดามแป้ง” ตัดสินใจ “ยกธงขาว” อำลาทีมไปดีกว่า เพราะหากฝืนทำต่อไป มีแต่ “เสมอตัว” กับ “โดนด่า” จากแฟนบอลไทย

 

การอำลาทีมของ “มาดามแป้ง” ทำให้ทีมชุดยู-23 ปีของไทยอยู่ในภาวะสุญญากาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ “บิ๊กอ๊อด” ต้องตัดสินใจว่าจะดึงใครมาทำงานต่อ

มีการเรียกร้องจากแฟนบอลให้ เนวิน ชิดชอบ เข้ามาทำงาน “เพื่อชาติ” หรือถ้าไม่ว่างพอ ให้ เนวิน ชิดชอบ ส่งคนที่คิดว่าไว้ใจที่สุดมาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมยู-23 ปี เพื่อสานงานต่อ เพื่อวางกรอบการทำงาน

ประเด็นดังกล่าว “เห็นด้วย” เป็นอย่างมากเพราะบารมี รวมถึงทุนทรัพย์ของ เนวิน ชิดชอบ คู่ควรกับตำแหน่งดังกล่าว แต่ยังไม่มีท่าทีใดๆ จากคนอย่าง เนวิน ชิดชอบ ออกมา

ดูแนวโน้มความเป็นไปได้มากที่สุด สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คงจะตัดสินใจกลับไปใช้ระบบไม่มี “ผู้จัดการทีม” ส่วนเฮดโค้ชก็เลือกโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และที่สำคัญคงจะไม่มีการประกาศอัดฉีดสร้างขวัญกำลังใจนักเตะเหมือนยุคที่มี “ผู้จัดการทีม” แบบเงินถุงเงินถังกันอีกต่อไป

สุดท้ายฟุตบอลไทยยู-23 ปีในปีหน้าก็จะเดินหน้าสู่ “หายนะ” ให้แฟนบอลไทยได้ “หัวร้อน” กันต่อไปอีกหนึ่งปี… •