ชำแหละฟอร์มบู่ชุด ‘ยู-23’ ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก! | เขย่าสนาม : เด็กเก็บบอล

เขย่าสนาม

เด็กเก็บบอล

[email protected]

 

ชำแหละฟอร์มบู่ชุด ‘ยู-23’

ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก!

 

สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับทีม “ช้างศึกหนุ่ม” หรือ ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ก็คือการที่เราพลาดทั้งแชมป์ ซีเกมส์ และตกรอบแรกฟุตบอล เอเอฟซี ยู-23 เอเชี่ยนคัพ มันก็เกิดขึ้นจนได้

สิ่งที่ไม่ต้องเพ่งก็มองเห็นจากผลงานอันย่ำแย่ของทีมชุดเล็กนั้น มันมากจากการวางแผนงานและการเตรียมตัวอย่างแท้จริง เพราะการปรับเปลี่ยนไปมาจนทำให้ทุกอย่างมันเละเทะไปหมด

เดิมทีทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี มีการวางโปรแกรมสำหรับการเตรียมทีมเอาไว้ คือฟุตบอลอุ่นเครื่อง *ดูไบ คัพ* ในเดือนมีนาคม จะต่อด้วยศึกชิงแชมป์เอเชีย ในเดือนมิถุนายน ก่อนจะถูกคั่นกลางด้วยฟุตบอลซีเกมส์ ที่เจ้าภาพเวียดนามตัดสินใจมาจัดในเดือนพฤษภาคม โดยมีการประกาศอย่างเป็นทางการตอนเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น

ซึ่งจากการที่เจ้าภาพประกาศช้า ทำให้โปรแกรมของฟุตบอลลีกในประเทศที่วางเอาไว้ มันไปทับซ้อนกับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์พอดี เลยทำให้เกิดปัญหาขึ้นในเรื่องของการเตรียมทีม เพราะแน่นอนว่าฟุตบอลซีเกมส์ไม่ใช่กีฬาที่ได้รับการรับรองจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) หรืออยู่ในช่วงฟีฟ่าเดย์ ทำให้สโมสรไม่จำเป็นจะต้องปล่อยตัวนักกีฬามาร่วมทีมก็ได้

ในขณะที่ผู้ใหญ่ในวงการยังคงวางเป้าหมายซีเกมส์เป็นรายการสำคัญ ต้องคว้าเหรียญทองให้ได้ แต่กลับไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปไฟต์กับการจัดการแข่งขันที่มันไม่เป็นสากล เตะกันวันเว้นวัน ทำลายสภาพร่างกายของนักเตะในวัยที่ควรจะต้องทะนุถนอมพวกเขาอย่างดี

สุดท้ายต้องบอกว่าเพราะซีเกมส์รายการเดียว ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด

 

คําว่าการติดกระดุมผิดเม็ดเดียว มันทำให้ทุกอย่างผิดไปหมด มันคงนำมาใช้กับเหตุการณ์ของทีมยู-23 ได้เป็นอย่างดี

เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกนักเตะ 50 คนที่ลงทะเบียนกับเจ้าภาพ เมื่อเปิดรายชื่อมา ล้วนแต่เป็นนักเตะระดับชั้นยอดของชุดยู-23 จริงๆ แต่มันก็สวนทางกับฟุตบอลลีกที่ยังไม่จบ เห็นได้ชัดว่ารายชื่อที่ส่งไปไม่สามารถเรียกมาได้ทุกคนแน่นอน

ซึ่งก็น่าแปลกใจ เพราะอย่างรายการ เอเอฟเอฟ ยู-23 แชมเปี้ยนส์ชิพ รายการที่เรียกว่าศักดิ์ศรีเท่ากัน เพราะเป็นการชิงแชมป์อาเซียนของนักเตะรุ่นอายุนี้ ไทยกลับส่งผู้เล่นชุดยู-19 ภายใต้การนำทีมของ ซัลบา บาเรโล่ การ์เซีย ยังสามารถคว้ารองแชมป์มาครองได้เลย

แต่พอเป็นการแข่งขันระดับซีเกมส์ กลับกลายเป็นว่าต้องส่งชุดที่ดีไปเพื่อเป้าหมายคือเหรียญทองกลับมา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ได้เหรียญทองฟุตบอลมา ประเทศไทยก็ไม่ได้เจ้าเหรียญทองอยู่ดี!

เมื่อเป้าหมายคือการคว้าเหรียญทองสถานเดียว ทำให้แม่ทัพอย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง เพื่อหวังว่าจะได้นักเตะที่ดีที่สุดมาร่วมทีมและคว้าเหรียญทองให้ได้

นำมาสู่การขอคุยกับไทยลีก เพื่อเลื่อนโปรแกรมในเดือนพฤษภาคม ที่หนักไปทางฟุตบอลถ้วยอย่าง “ช้าง เอฟเอ คัพ” และ “รีโว่ ลีก คัพ” ที่เข้าสู่รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะส่งผลถึงรายการต่อๆ ไป ทั้งชิงแชมป์เอเชีย ยู-23 หรือในส่วนของทีมชุดใหญ่ที่มีเอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือกด้วย

ถ้าหากว่าเตะกันตามโปรแกรมเดิม ฟุตบอลไทยจะสะเด็ดน้ำตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม จบวันเดียวกับนัดชิงชนะเลิศซีเกมส์ ที่ประเทศเวียดนามนั่นแหละ แล้วจากนั้นทีมชาติไทยทั้งชุดใหญ่และยู-23 จะมีเวลาเก็บตัวราวๆ 1 สัปดาห์ ก่อนเข้า 2 ศึกใหญ่ในเดือนมิถุนายนนี้

แต่พอไปเลื่อนโปรแกรมรีโว่ ลีก คัพ มาต่อท้าย ทำให้กว่าฟุตบอลลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศจะจบคือวันที่ 29 พฤษภาคม กลายเป็นไม่มีเวลาเตรียมทีมไปอีก

แถมสุดท้ายแล้วการเลื่อนโปรแกรมลีก คัพ ออกมา เพื่อหวังจะได้นักเตะจากที่เป็นเบอร์ต้นๆ ของชุดยู-23 ไปลุยซีเกมส์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะว่านักเตะสำคัญของทีมชุดนี้ อยู่ในทีม “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ที่ยังมีโปรแกรมฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการอยู่ จึงไม่ปล่อยมาร่วมทีมเลย

ฉะนั้น การเลื่อนโปรแกรมครั้งนี้ จึงเป็นการเลื่อนโปรแกรมที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะเลื่อนแล้ว ทีมชุดซีเกมส์มีเวลาซ้อมแบบครบทีม 1 วันก่อนเตะ, ทีมชุดยู-23 กว่าจะได้นักเตะครบก็ 1 วันก่อนเตะเช่นกัน (ยังดีที่ชุดใหญ่ยังพอมีเวลาซ้อมมากกว่าเล็กน้อย)

 

การจะทำฟุตบอลที่ดี ไม่ใช่แค่การนำเอานักเตะระดับชั้นยอดมารวมๆ กัน แล้วก็หวังว่าจะได้ผลงานที่ดี เพราะสิ่งสำคัญคือฟุตบอลไม่ได้เล่นคนเดียว แต่เล่นกันเป็นทีมเวิร์ก ต่อให้มีนักเตะที่มีความสามารถส่วนตัวดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการซ้อม ให้เล่นร่วมกันเป็นทีม มันก็ไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีออกมาได้

มันน่าเสียดายเพราะถ้านักเตะชุดยู-23 ที่ไปชิงแชมป์เอเชีย ได้มีเวลาซ้อมกันมากกว่านี้ มีโอกาสจะไปไกลได้เลยทีเดียว เพราะนักเตะล้วนมีความสามารถทั้งสิ้น

อีกกระดุมที่ติดผิดเคยกล่าวไว้เมื่อตอนพลาดเหรียญทองซีเกมส์ ก็คือการตั้ง มาโน่ โพลกิ้ง เฮดโค้ชทีมชุดใหญ่ เข้าไปทำทีมชุดซีเกมส์ แทนที่จะให้ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ที่รู้จักนักเตะชุดนี้เป็นอย่างดีทำหน้าที่ไป

โดยรวมๆ แล้วมันเกิดจากการเตรียมตัวไม่ดี การตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะต่อให้นักเตะดีแค่ไหน เจอการจัดการแบบนี้ก็จอดหมด

นี่โชคดีว่าทีมชุดใหญ่ตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเอเชี่ยนคัพ 2023 ตามเป้าหมายได้นะ

ไม่งั้นคงดูไม่จืดกว่านี้อี๊ก! •