ยุคเปลี่ยนผ่านของเชลซี / Technical Timeout : SearchSri

Technical Timeout

SearchSri

 

ยุคเปลี่ยนผ่านของเชลซี

 

หลังจากอยู่ในความไม่แน่นอนมานานหลายสัปดาห์ ในที่สุด เชลซี ก็มีความชัดเจนเรื่องเจ้าของทีมคนใหม่แล้ว

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีรัสเซียได้ประกาศขายทีมเชลซีภายหลังโดนกดดันจากสถานการณ์ที่รัฐบาลรัสเซียส่งกำลังทหารรุกรานยูเครน และเขาโดนรัฐบาลอังกฤษจับจ้องในฐานะหนึ่งในนักธุรกิจคนสนิทของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน

ไม่นานหลังอับราโมวิชประกาศหาผู้ซื้อสโมสร เขาก็โดนรัฐบาลอังกฤษคว่ำบาตรและอายัดทรัพย์สิน ซึ่งสโมสรเชลซีเป็นหนึ่งในนั้น ทำให้เกิดข้อจำกัดในการบริหารงานมากมาย อาทิ ห้ามซื้อขายนักเตะ, ห้ามขายบัตรเข้าชมการแข่งขันในเกมเหย้า, มีงบประมาณจำกัดในการดำเนินการต่างๆ โดยเฉพาะการเดินทางไปเตะเกมเยือน ฯลฯ

ในช่วงมรสุมภายนอกที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด กุนซือ โธมัส ทูเคิล และลูกทีม พยายามรักษามาตรฐานการเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

แรกๆ ก็ยังไปได้ดี แต่ช่วงหลังเกิดอาการฟอร์มแกว่งอย่างเห็นได้ชัด ด้วยหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน

 

อย่างไรก็ตาม หลังอยู่ในความไม่แน่นอนมาหลายสัปดาห์ ในที่สุดอนาคตของสโมสรเชลซีก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อทั้งสโมสรเชลซีและ เรน กรุ๊ป กลุ่มธนาคารของสหรัฐที่ดูแลเรื่องการซื้อขายแทนอับราโมวิช ประกาศให้กลุ่มทุนที่นำโดย ท็อดด์ โบห์ลี่ นักธุรกิจชาวอเมริกัน เจ้าของร่วมทีมเบสบอล แอลเอ ด็อดเจอร์ส เป็นตัวเลือกผู้ซื้ออันดับ 1

และทำการเซ็นสัญญาเบื้องต้นมูลค่า 4,250 ล้านปอนด์ (191,250 ล้านบาท) ไปเรียบร้อย

การสิ้นสุดยุคสมัยของอับราโมวิช เข้าสู่ยุคของโบห์ลี่และคณะ ทำให้เกิดคำถามมากมายตามมา

หนึ่งในนั้นคือคำถามสำคัญที่สุดว่าทีมจะประสบความสำเร็จอย่างเดิมได้หรือไม่?

ท็อดด์ โบห์ลี่ (กลาง)

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่อับราโมวิชเข้าเทกโอเวอร์สโมสร เชลซีประสบความสำเร็จคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 ครั้ง, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้ง, เอฟเอคัพ 5 ครั้ง, ลีกคัพ 3 ครั้ง, ยูโรป้าลีก 2 ครั้ง, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 1 ครั้ง, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1 ครั้ง และคอมมิวนิตี้ชิลด์ 2 ครั้ง เบ็ดเสร็จได้แชมป์รวม 21 ถ้วย

อับราโมวิชลงทุนไปกับการซื้อนักเตะ 2,100 ล้านปอนด์ (94,500 ล้านบาท) ส่วนมูลค่านักเตะที่ขายไป 1,160 ล้านปอนด์ (52,200 ล้านบาท)

แต่ความสำเร็จและเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้ก็มาพร้อมกับความเด็ดขาดในการบริหารงาน เมื่อผลงานไม่เข้าเป้าเมื่อไร ก็พร้อมจะปลดโค้ชทันที โดยเชลซีในยุคมหาเศรษฐีรัสเซียมีโค้ชรวมกันทั้งสิ้น 13 คน

สำหรับกลุ่มทุนที่นำโดยโบห์ลี่ซึ่งเข้าไปซื้อสโมสรเชลซี มีแผนลงทุนกับทีม 1,750 ล้านปอนด์ (78,750 ล้านบาท) ในระยะเวลา 10 ปี

ตัวโบห์ลี่เองมีประวัติน่าสนใจในวงการกีฬา โดยเฉพาะกับการบริหารงานแอลเอ ด็อดเจอร์ส ดังปรากฏว่า ด็อดเจอร์สเป็นทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยให้นักกีฬาสูงที่สุดในเมเจอร์ลีก เบสบอล ของสหรัฐ มีสถิติการดึงผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ร่วมทีมอย่างน้อยปีละ 1 คน โดยปัจจุบันมีนักกีฬาที่ติดโผลุ้นรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (เอ็มวีพี) ของลีกถึง 3 คนในอันดับท็อป 6

นอกจากซื้อผู้เล่นบิ๊กเนมเข้าทีมแล้ว ด็อดเจอร์สยังมีทีมแมวมองที่ดี ทั้งการดราฟต์ตัวและดึงผู้เล่นอายุน้อยเข้าทีมเพื่อพัฒนาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต

ซึ่งหลักการทำงานเหล่านี้น่าจะเข้ากับสไตล์ของเชลซีในปัจจุบันเป็นอย่างดี

 

แต่นอกจากมุมดีๆ โบห์ลี่ก็มีประเด็นที่โดนวิจารณ์เรื่องความ “หัวหมอ” ในการบริหารเรื่องเงินกู้สโมสรที่นำไปสู่การครองส่วนแบ่งหุ้นของทีมถึง 20 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้แฟนบอลสิงห์บลูส์อุ่นใจได้ เพราะคาดว่าจะมีการวางระเบียบข้อบังคับ ห้ามเจ้าของใหม่มีอำนาจในการแบ่งเงินหรือบริหารงบฯ อย่างอิสระในระยะเวลา 10 ปีแรก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ครอบครัวเกลเซอร์เข้าไปเทกโอเวอร์และกอบโกยรายได้จากทีมมหาศาล สวนทางกับผลงานในสนามที่ตกต่ำในปัจจุบัน

การเริ่มต้นใหม่ย่อมหมายถึงความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อย่าง เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่แฟนเชลซีหลายคนคงติดตามด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ย่อมต้องดีกว่าสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนก่อนหน้านี้อย่างไม่ต้องสงสัย •