ด้อยค่าซีเกมส์ ความคิดอันตรายบอลไทย / เขย่าสนาม : เงาปีศาจ

เขย่าสนาม

เงาปีศาจ

 

ด้อยค่าซีเกมส์

ความคิดอันตรายบอลไทย

 

โค้งสุดท้ายของการเตรียมทีมฟุตบอลไทยเพื่อภารกิจทวงบัลลังก์แชมป์ซีเกมส์มีดราม่าร้อนฉ่าปั่นป่วนวุ่นวาย…

“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม ตัดสินใจเปลี่ยนม้ากลางศึก แต่งตั้งให้ มาโน่ โพลกิ้ง จากกุนซือทีมชุดใหญ่เข้ามาทำหน้าที่แทน “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ที่โดนกระแสแฟนบอล (สมัครเล่น) ในโลกโซเชียลโจมตีหลังจาก “โค้ชโย่ง” นำทีมยู-23 ปีของไทยไปทำผลงานไม่ดีในฟุตบอลอุ่นเครื่อง ย้ำว่า อุ่นเครื่องเพื่อลองทีมในศึก “ดูไบ คัพ”

บ้างก็ว่า “โค้ชโย่ง” ฝีมือไม่ถึง แฟนบอลบางคนก็ทำตัวเก่งในโซเชียลกว่าอดีตทีมชาติ และกุนซือทีมชาติ

ฝั่ง “มาดามแป้ง” ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมอ่อนไหวต่อโลกโซเชียล จึงตัดสินใจตั้งโต๊ะแถลงเปลี่ยนกุนซือ โยนความกดดันไปให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เพื่อขอให้เลื่อนโปรแกรมไทยลีกโดยหวังให้สโมสรปล่อยตัวนักเตะที่ต้องการมาร่วมทีมชุดซีเกมส์เพื่อล่าเหรียญทอง

ทันทีที่มีข่าวออกไป โลกโซเชียลถึงกับลุกเป็นไฟ โจมตี “มาดามแป้ง” โจมตีไปถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกและส่งนักกีฬาไทยไปแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 12-23 พฤษภาคม 2565

เหตุผลที่แฟนบอลไทยส่วนหนึ่ง รวมไปถึงผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จำนวนหนึ่ง รวมถึงตัว “แชมป์” กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลีก จำกัด แสดงทัศนะออกมานั้น เป็นความคิดที่อันตรายต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยทั้งองคาพยพ

บ้างมองว่า กีฬาซีเกมส์เป็นกีฬาพื้นบ้าน ทำไมไทยต้องไปให้ความสำคัญ หากส่งนักเตะตัวหลักไป สโมสรกังวลว่าจะได้รับอาการบาดเจ็บ ส่งผลกระทบต่อฟุตบอลลีก และฟุตบอลถ้วย

บ้างมองว่า ฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ไม่สำคัญ เราต้องก้าวข้ามอาเซียนได้แล้ว เราต้องมองไปที่ระดับเอเชีย ระดับโลกกันได้แล้ว

บ้างมองว่า ฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ ควรเป็นเวทีในการพัฒนาและดันเยาวชน 19 ปีไปแข่งขันเท่านั้น อย่าไปให้คุณค่ากับกีฬาซีเกมส์

ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่ “ล่อแหลม” และ “อันตราย” ต่อการพัฒนาวงการกีฬาไทย

 

ฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์เป็นเหรียญรางวัลแห่งศักดิ์ศรี เป็นเหรียญรางวัลใหญ่ ที่คีย์แมนกีฬาเมืองไทย ที่รัฐบาลไทย ที่สื่อมวลชน และแฟนบอลที่มีทัศนคติที่ดีต่อทีมชาติไทยคาดหวังไว้ อย่าเอาคำว่า “FIFA A Match” มาตัดสินว่า ซีเกมส์ไม่เป็น FIFA A Match แล้วจะด้อยค่า

แม้จะไม่มีคะแนนแรงกิ้งโลกให้คิดคะแนน แต่ศักดิ์ศรีเบอร์ 1 อาเซียนมันค้ำคอ ยังไงเราก็ต้องตั้งเป้าหมายไว้ที่ “แชมป์” ไว้ก่อนเสมอ ถ้าไม่หวังที่ “แชมป์” ก็ไม่ต้องส่งไปให้เปลืองภาษีประชาชนคนไทย เพราะงบประมาณที่ส่งนักกีฬาไปแข่งขันมาจากภาษีประชาชนทุกบาท ทุกสตางค์

เพราะฉะนั้น ประเด็นที่บอกว่า ซีเกมส์เป็นกีฬาพื้นบ้าน ทำไมต้องไปให้ความสำคัญ เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวของคนจำนวนหนึ่ง เป็นความคิดที่ไม่เคยรักและทนงในศักดิ์ศรีวงการกีฬาเมืองไทย

ส่วนประเด็นเรื่องนักเตะจะได้รับอาการบาดเจ็บจนส่งผลกระทบต่อสโมสรในการลงเตะลีกอาชีพ เป็นเรื่องที่ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และนักเตะที่ต้องการจะติดธงไตรรงค์บนอกเสื้อไปบริหารจัดการในทีม

กรณีที่ยังมองกันว่า ฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ไม่สำคัญ เราต้องก้าวข้ามอาเซียนได้แล้ว เราต้องมองไปถึงระดับเอเชีย ระดับโลกกันได้แล้ว ถามกันตรงๆ ถามกันแบบไม่อ้อมค้อม ฟุตบอลไทย ณ นาทีนี้ ถ้าจะหาทัวร์นาเมนต์คว้าแชมป์นอกจาก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” และ “ซีเกมส์” แล้ว

ฟุตบอลไทยมีหวังคว้าแชมป์รายการระดับเอเชีย และระดับโลก อีกหรือ…?!?! (ถ้าไม่หลอกตัวเอง) แล้วทำไมคนวงการฟุตบอลจะมอบความสุขให้แฟนบอลไทย 2 ปีครั้ง มันยากนักหรือ…?

ถ้าเราจะก้าวข้ามอาเซียน เราต้องก้าวข้ามได้จริงๆ ต้องได้แชมป์ “ซูซูกิ คัพ” รวมถึง “ซีเกมส์” จนเบื่อกันไปเลย แล้วเราค่อยมาปักธงกันใหม่ที่ระดับเอเชีย

แต่ปัจจุบันเรายังไม่ก้ามข้ามอาเซียน แต่ชอบคิดกันว่า เราเจ๋ง เราเก่งไประดับเอเชีย ไประดับโลกกันแล้ว…

ประเด็นที่คิดกันว่า ฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ ควรเป็นเวทีในการพัฒนาและดันเยาวชน 19 ปีไปแข่งขันเท่านั้น อย่าไปให้คุณค่ากับกีฬาซีเกมส์

แนวทางนี้จริงๆ บอกกันตามตรง ไม่ติดขัดถ้าเราคิดว่า เด็กเราสู้เขาได้ และคิดว่า เราไปแล้วดีพอในการคว้าแชมป์ ใครจะไปแข่งขัน ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญอยู่ที่ ไปแล้วเราได้ลุ้นแชมป์คุ้มค่ากับภาษีของคนไทยในการส่งนักกีฬาไปแข่งขันหรือไม่

ถ้าไปแล้ว โดนถล่ม 3 นัด ตกรอบแรก แล้วจะส่งไปทำไมให้ขายขี้หน้าชาติอาเซียน

ชาติใหญ่ๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เขาโฟกัสให้ความสำคัญกับฟุตบอลทีมชาติ และฟุตบอลลีก ควบคู่กัน ไม่ด้อยค่ากันและกัน

ทีมชาติก็ไม่ด้อยค่าฟุตบอลลีก…

ฟุตบอลลีกก็ไม่ด้อยค่าทีมชาติ…

แฟนบอลก็ไม่ด้อยค่าทั้งทีมชาติและฟุตบอลลีก…

ทุกอย่างมันต้องเดินไปด้วยกัน ฟุตบอลลีกต้องไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สโมสรต้องยอมรับได้ ทีมชาติต้องมีทางเดิน แล้วอย่าเอาเรื่องใครอยู่ขั้วไหน แตกก๊ก แตกเหล่า เตะตัดแข้งตัดขากันมาทำงาน เพราะนี่คือภารกิจเพื่อชาติ เพื่อศักดิ์ศรีวงการกีฬาเมืองไทย

 

ดราม่าร้อนทุกอย่างมันจะไม่เกิดขึ้น ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งเรื่องการเตรียมทีม การจัดทำโปรแกรมเตะ การพูดคุยกัน การเข้าอกเข้าใจกัน วางเรื่องผลประโยชน์ไว้นอกห้องประชุม

ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ การคุยกันแบบจริงใจของทีมงานสมาคม ทีมงานทีมชาติ ทีมงานสโมสร ที่สำคัญแฟนบอลไทย (บางส่วน) ต้องเปลี่ยนทัศนคติอย่าไปด้อยค่ากีฬาซีเกมส์…! รักฟุตบอลลีกอาชีพ ก็ต้องรักทีม “ช้างศึก” รักนักเตะ “ช้างศึก”

อย่าไปคิดว่าทีมชาติคือ ตัวถ่วงความเจริญสโมสร ตัวฉุดรั้งฟุตบอลลีกอาชีพ ทุกอย่างมันต้องเติบโตไปควบคู่กัน

เพราะมันเป็นความคิดที่ “อันตราย” •