130 ล้าน แพงสุดนักฟุตบอลไทย ‘ชนาคุง’ ย้ายสู่ทัพ’ ฟรอนตาเล่’ ก้าวย่างสู่การลุ้นแชมป์ ‘เจลีก’ / เขย่าสนาม : เมอร์คิวรี่

เขย่าสนาม

เมอร์คิวรี่

[email protected]

 

130 ล้าน แพงสุดนักฟุตบอลไทย

‘ชนาคุง’ ย้ายสู่ทัพ’ ฟรอนตาเล่’

ก้าวย่างสู่การลุ้นแชมป์ ‘เจลีก’

 

จารึกสถิตินักเตะไทยที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีมชาติไทย ซึ่งย้ายจาก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ไปร่วมทีม คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ดีกรีแชมป์เจลีก 1 ญี่ปุ่น ด้วยค่าตัวมหาศาลถึงกว่า 130 ล้านบาท!

ถือเป็นการก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นของ “ชนาคุง” ในการค้าแข้งลีกแดนปลาดิบ จากทีมชั้นนำไปสู่ทีมลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวกับทัพฟรอนตาเล่ ที่เป็นแชมป์เจลีกถึง 4 สมัยจาก 5 ฤดูกาลหลังสุด พร้อมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของฟุตบอลไทยให้เกิดขึ้นในเวทีลีกสูงสุดญี่ปุ่น

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ชนาธิปบรรลุข้อตกลงย้ายจาก “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปร่วมทีมคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ด้วยสัญญายืมตัวระยะเวลา 1 ปีครึ่งในช่วงเลกสองของฤดูกาล ซึ่งเขาต้องเผชิญกับกำแพงต่างๆ ทั้งภาษา วัฒนธรรม การปรับตัว และการห่างไกลบ้านเกิด

ครึ่งฤดูกาลแรก “ชนาคุง” ได้รับโอกาสลงสนามต่อเนื่อง แต่ทำได้เพียงแค่แอสซิสต์เดียวเท่านั้น และยังยิงประตูแรกไม่ได้

จนกระทั่งฤดูกาล 2018 “มิช่า” มิไฮโล เปโตรวิช กุนซือชาวเซอร์เบีย เข้ามาคุมทัพ “คอนซะ” ทำให้ชนาธิปถูกวางเป็นจอมทัพ และได้ลงเล่น 31 นัดรวมทุกรายการ พร้อมทะลวง 9 ประตู และอีก 3 แอสซิสต์

 

จากผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้ “เมสซี่เจ” ได้รับการโหวตจากแฟนบอลซัปโปโร เป็นนักเตะทรงคุณค่าของสโมสรประจำฤดูกาล พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของเจลีก 2018 อีกด้วย

ฤดูกาลดังกล่าวนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชนาธิปได้การยอมรับจากแฟนบอลคอนซาโดเล่ ซัปโปโร จนสโมสรตัดสินใจซื้อขาดมาร่วมทีมเมื่อฤดูกาล 2019 ด้วยค่าตัวประมาณ 85 ล้านบาท พร้อมเซ็นสัญญายาว 6 ปี จนถึงปี 2025 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ชนาธิปต้องเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานในช่วงฤดูกาล 2019 จนถึงฤดูกาล 2020 โดยเฉพาะช่วงครึ่งฤดูกาลหลังที่เขาแทบไม่ได้ลงสนามเลย ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2021 ที่ยังได้ลงเล่นบ้าง สลับกับมีอาการบาดเจ็บบ้างมาโดยตลอด

จนกระทั่งชนาธิปได้มีการเปลี่ยนโค้ชฟิตเนสประจำตัวคนใหม่เป็นชาวบราซิเลียน ที่เจ้าตัวถึงกับยอมรับว่า เหมือนได้ยกเครื่องร่างกายใหม่ทั้งหมด

สามารถกลับมาลงเล่นได้อย่างต่อเนื่องช่วงท้ายฤดูกาล และกดไป 3 แอสซิสต์จาก 7 เกมที่ลงเล่นด้วยกัน

 

ตลอดระยะเวลา 4 ปีครึ่งของชนาธิปกับคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ลงสนามไปทั้งหมด 123 นัด ยิงได้ 15 ประตู แอสซิสต์ 22 ครั้ง โดนใบเหลือง 12 ใบ และไม่มีใบแดงเลย โดยผลงานดีที่สุดกับสโมสรคือได้รองแชมป์เจลีก คัพ เมื่อฤดูกาล 2019

ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้านทำให้ไปเข้าตาคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึกเจลีกทุ่มเงินกระชากตัวชนาธิปไปเสริมทัพ หลังจากที่เสียแข้งญี่ปุ่นตัวหลักส่งออกไปโลดแล่นในลีกยุโรป ทั้ง คาโอรุ มิโตมะ ย้ายไปไบรท์ตัน ในพรีเมียร์ลีก รวมถึง เรโอ ฮาตาเตะ ย้ายไปกลาสโกว์ เซลติก และ อาโอ ทานากะ ย้ายไปฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ

ชนาธิปเปิดใจถึงการย้ายทีมครั้งนี้ว่า เป็นสิ่งที่เซอร์ไพรส์ในชีวิตอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้ สิ่งที่รู้แค่ว่าเขาสนใจ แต่ไม่คิดว่าจะมาซื้อจริงๆ ขอขอบคุณลุง ระวิ โหลทอง ผู้บริหารเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ให้โอกาสได้ไปเจลีก และต้องขอบคุณสโมสรคอนซาโดเล่ แฟนบอล ประธาน ทีมงานที่ต้อนรับอย่างดีตั้งแต่วันแรก จนถึงวันสุดท้าย รู้สึกอบอุ่นกับการที่ได้อยู่บ้านหลังนั้น

“ผมมีเป้าหมายเดียวคือเราต้องเป็นแชมป์ให้ได้ ผมไม่เคยคิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ ซึ่งต้องขอบคุณหลายคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งครอบครัว ทุกสโมสร โค้ชทุกคนที่ผมเคยร่วมงานด้วย เพื่อนทุกคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ เพราะผมเชื่อว่าฟุตบอลเล่นคนเดียวไม่ได้ และผมต้องพัฒนาตัวเองต่อไป เพราะในวันที่เราสำเร็จ ใครๆ ก็ชื่นชมเรา และเราต้องคิดว่าเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไรต่อไป”

ชนาคุงยืนยันว่า พร้อมปรับตัวใหม่เข้ากับทีมใหม่อย่างคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ทั้งเรื่องระบบทีม, สิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องเรียนรู้ใหม่ เพื่อไปโชว์ศักยภาพให้สมกับสิ่งที่เขาซื้อมาร่วมทีมในฤดูกาลนี้ พร้อมกับพิสูจน์ให้เขาได้เห็นศักยภาพของตัวเอง

สําหรับคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ มีฉายาว่า “อัซซูร่า เนโร่” ซึ่งมาจากภาษาอิตาเลียน อัซซูร่า ที่แปลว่าสีฟ้า และเนโร่ ที่แปลว่าสีดำ นั่นคือสีประจำสโมสร ฟรอนตาเล่ถือเป็นยอดทีมแห่งยุคนี้ของลีกญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาเป็นทีมที่มีสิทธิลุ้นแชมป์มาอย่างต่อเนื่อง เป็นทีมที่ยึดมั่นแนวทางฟุตบอลเกมรุกแบบสุดโต่ง ครองบอลเหนือกว่าคู่แข่ง และพยายามหาทางทำประตูเรื่อยๆ

ในฤดูกาล 2017 พลพรรค “อัซซูร่า เนโร่” ปลดล็อกคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกของสโมสร ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ด้วยการที่มีแต้มเท่ากับ คาชิม่า แอนต์เลอร์ส ที่ 72 แต้ม แต่มีประตูได้เสียที่ดีกว่าจึงคว้าแชมป์ไปครอง จากนั้นก็ครองแชมป์ต่อเนื่อง พลาดแค่ปีเดียวคือ 2019 ที่จบอันดับ 4 เท่านั้น

การย้ายมาสู่ทัพ “อัซซูร่า เนโร่” ของ “เมสซี่เจ” ถือเป็นการเข้ามาทดแทนการขาดไปในแดนกลางของเรโอ ฮาตาเตะ ภายใต้ระบบการเล่น 4-3-3 ของกุนซือโทรุ โอนิกิ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ชนาธิปเล่นให้กับทัพช้างศึก รวมถึงจะขยับไปเล่นหน้าซ้ายแทนที่มิโตมะก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในสีเสื้อฟ้าของฟรอนตาเล่จะทำให้ชนาธิปได้เล่นร่วมกับแข้งดังทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง โชโก ทานิกูจิ, มิกิ ยามาเนะ และ ยาสุโตะ วากิซากะ รวมทั้ง เลอันโดร ดามิเยา กองหน้าดาวยิงชาวบราซิเลียนที่ฝากผลงานไว้มากมายในลีกสูงของของญี่ปุ่น

ถือเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในช่วงพีกที่สุดในการค้าแข้งด้วยวัย 28 ปี กับเป้าหมายสูงที่สุดในการคว้าแชมป์เจลีกให้ได้ในที่สุด