บันทึก ‘ช้างศึก’ เจ้าอาเซียน ก้าวแรกการไต่ระดับสู่เอเชีย / เขย่าสนาม : เงาปีศาจ

เขย่าสนาม

เงาปีศาจ

 

บันทึก ‘ช้างศึก’ เจ้าอาเซียน

ก้าวแรกการไต่ระดับสู่เอเชีย

 

บทสรุปการฟาดแข้งเพื่อชิงชัยการเป็นเจ้าลูกหนังอาเซียนในศึกฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” ปรากฏว่า ทีมฟุตบอลไทยทวงบัลลังก์แชมป์อาเซียนได้สำเร็จ

ถือเป็นการคว้าแชมป์มาครองเป็นสมัยที่ 6 ของทีมช้างศึกหลังจากเคยคว้ามาแล้วในปี 1996, 2000, 2002, 2014, 2016

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นขึ้น ให้บอกว่าทีมชาติไทยจะสามารถกลับมาผงาดเป็นเจ้าอาเซียนอีกครั้งหนึ่งได้นั้น คนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกันอยู่เลย

เพราะทีมชาติไทยชุดนี้ต้องบอกว่าเจอปัญหามากมายหลายอย่างก่อนจะเดินทางมา

 

จุดเด่นทีมชุดนี้คือการที่ได้นักเตะที่เรียกว่าดีที่สุดในประเทศไทยมาอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน, “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา รวมถึงตัวจากไทยลีกที่เป็นตัวระดับท็อปสุดๆ

เรียกได้ว่าเป็นชุดที่สมบูรณ์มากที่สุดในรอบ 5-6 ปีให้หลัง

ขณะเดียวกันยังได้กุนซืออย่าง มาโน่ โพลกิ้ง ลูกครึ่งบราซิเลียน-เยอรมันที่คร่ำหวอดทำงานอยู่เมืองไทยมายาวนานเกือบ 10 ปีคุมทัพ

ถ้าคนติดตามฟุตบอลไทยลีกจะรู้กันดีว่ามาโน่เป็นโค้ชสไตล์เกมรุกจ๋า เดินหน้าฆ่าไม่ยั้ง เสียเท่าไหร่ก็ได้ แต่ขอให้ยิงให้ได้มากกว่าก็เป็นพอ

แต่ทว่าในทัวร์นาเมนต์นี้มาโน่ทำให้เห็นว่าเขาก็เป็นโค้ชที่เล่นเพื่อเน้นผลการแข่งขันได้ดีไม่แพ้กัน

การวางแผนในการเล่นตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์เหมือนวางแผนเตรียมมาแล้วจากบ้าน ตั้งแต่เกมแรกกับติมอร์ฯ ที่เหมือนเป็นแค่อุ่นเครื่อง เพื่อให้ทีมได้มีเวลาซ้อมเต็มที่ก่อนเกมที่ 2 ที่จะได้ตัว “ชนาธิป-ธีราทร” มาเสริม แล้วค่อยปล่อยทีเด็ดในแท็กติกตัวเองออกมา

รอบรองชนะเลิศกับคู่รักคู่แค้นทีมเบอร์ 1 อาเซียนอย่างเวียดนาม มาโน่วางแผนบุกตะลุยตั้งแต่นาทีแรก จนได้ประตูขึ้นนำเร็ว แล้วจากนั้นเลือกเล่นแบบเพลย์เซฟ โดยเฉพาะในเกมที่สองที่ปิดจ๊อบได้แบบสวยงาม รักษาสถิติไม่เสียประตูให้เวียดนามอีกด้วย

และที่พีกสุดคงเป็นรอบชิงชนะเลิศเกมแรกกับอินโดนีเซีย ที่เปลี่ยนผู้เล่นเกือบยกชุดอีกครั้ง แต่ทว่าชุดที่ลงไปกลับทำผลงานได้ดีสุดๆ เก็บชัยชนะตุนมาได้ถึง 4 ลูก จนแทบจะไม่ต้องเตะนัดสองแล้วก็ว่าได้

อีกจุดหนึ่งที่มาโน่ได้รับคำชมมากๆ นั่นคือการเปลี่ยนตัวแบบมือทอง ไม่ว่าใครที่จับส่งลงสนามไปล้วนแต่เป็นซูเปอร์ซับให้ทีมได้ทั้งนั้น ทั้งนัดแรกอย่าง ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์, นัดสอง วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ หรือแม้แต่รอบรองชนะเลิศนัดสองกับเวียดนาม การส่ง เอเลียส ดอเลาะ ลงไป

นั่นคือผลงานมาสเตอร์พีซ

 

ทีมชาติไทยชุดนี้ถือว่าสร้างสถิติมากมายให้เกิดขึ้นในทัวร์นาเมนต์นี้ ทั้งการเป็นทีมที่ยิงได้มากที่สุด 18 ประตู คลีนชีตมากที่สุด 6 จาก 8 นัด เป็นทีมเดียวที่ไม่แพ้ใครตลอดทัวร์นาเมนต์ และยังเป็นทีมแชมป์ที่ใช้ผู้เล่นที่เรียกมาครบทุกคนเป็นทีมแรกอีกด้วย

การจ่ายบอล 4,040 ครั้งมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / จ่ายบอลสำเร็จ 3,415 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / ความแม่นยำในการจ่ายบอล 84.5% มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / จ่ายบอลสำเร็จในแดนคู่แข่ง 82% มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / สร้างสรรค์โอกาส 103 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / ครอสบอล 50 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / โอกาสยิง 133 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / ยิงตรงกรอบ 63 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / ดวลตัวต่อตัวชนะ 419 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / ดวลลูกกลางอากาศชนะ 115 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / เรียกฟาล์ว 141 ครั้ง มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ / คลีนชีต 6 จาก 8 นัดที่ลงสนาม มากที่สุดในทัวร์นาเมนต์

นอกจากนี้ ยังเป็นการทำสถิติส่วนตัวอย่าง “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่ยิงไป 4 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ ทำให้รวมแล้วซัดไปได้ 19 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน ทำลายสถิติเดิมของ นอห์ อลัม ชาห์ ตำนานทีมชาติสิงคโปร์ที่เคยทำไว้ 17 ประตู

ขณะที่ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีมชาติไทยยังคว้ารางวัลนักเตะทรงคุณค่า (เอ็มวีพี) ครั้งที่ 3 ของตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนเดียวในอาเซียนที่คว้ารางวัลนี้ได้ถึง 3 ครั้ง สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของอาเซียนในยุคนี้อย่างแท้จริง

 

 

ทั้งหมดทั้งมวลของความสำเร็จของทีมชาติไทยชุดนี้ เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีการนำของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมหญิงแกร่ง ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของทีมเลยก็ว่าได้

จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้ทีมฟุตบอลช้างศึกรับทรัพย์กันอื้อซ่ากวาดไปรวมทั้งหมด 46 ล้านบาท แยกเป็น เงินรางวัล 10 ล้านบาท เงินอัดฉีดจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อีก 10 ล้าน และเงินอัดฉีดจาก “มาดามแป้ง” อีก 26 ล้านบาท

การทวงแชมป์อาเซียนมันก็ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในระดับอาเซียน และต่อยอดไปสู่ระดับเอเชียของทีมชาติไทย

ปี 2022 ทีมชาติไทยยังมีภารกิจอีกมากที่รออยู่ โดยเฉพาะกับการคัดเลือก เอเชี่ยน คัพ 2023 ที่จะแข่งขันในเดือนมิถุนายน

ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโจทย์หินของทีมฟุตบอล “ช้างศึก”