ไทม์เอาต์/SearchSri *สุดทางยุคทองของเบลเยียม?

Soccer Football - Euro 2020 - Quarter Final - Belgium v Italy - Football Arena Munich, Munich, Germany - July 2, 2021 Belgium's Axel Witsel, Romelu Lukaku and teammates look dejected after the match Pool via REUTERS/Christof Stache

ไทม์เอาต์/SearchSri

สุดทางยุคทองของเบลเยียม?

หนึ่งในทีมที่ผิดหวังอย่างที่สุดสำหรับศึก ยูโร 2020 คงไม่พ้น เบลเยียม ทีมอันดับ 1 ของโลกตามการจัดอันดับของฟีฟ่า แรงกิ้ง ในปัจจุบัน

ในอดีต “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” จัดเป็นทีมขนาดเล็กถึงกลางที่ผลงานไม่ได้โดดเด่นมากนัก

ผลงานดีที่สุดในการเข้าร่วมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปก่อนหน้านี้คือการคว้าตำแหน่งรองแชมป์ในศึกยูโรปี 1980 รวมถึงอันดับ 3 เมื่อปี 1972 ขณะที่ครั้งอื่นๆ มีทั้งไม่ผ่านรอบคัดเลือกและตกรอบแบ่งกลุ่มเสียเป็นส่วนใหญ่

กระทั่งถึงยุคที่เบลเยียมมีนักเตะพรสวรรค์ระดับแถวหน้าแจ้งเกิดในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน จึงกลายเป็น “โกลเด้น เจเนอเรชั่น” หรือยุคทองของทีมชาติเบลเยียม

ไม่ว่าจะเป็น เควิน เดอ บรอยน์, เอเด็น อาซาร์, โรเมลู ลูกากู, ธิโบต์ กูร์ตัวส์ และอีกมากมาย ซึ่งต่างมีผลงานการันตีในระดับสโมสร

ถือเป็นเกียรติประวัติที่น่าทึ่งไม่น้อยสำหรับประเทศที่มีประชากรเพียง 11.5 ล้านคน และเป็นประเทศที่ลีกในประเทศไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่ม “บิ๊ก 5” หรือ 5 ลีกใหญ่ของยุโรปอย่างอังกฤษ สเปน อิตาลี เยอรมนี และฝรั่งเศส

 

ลูกากูให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนศึกยูโรจะเปิดฉากว่า แฟนบอลตกหลุมรักสไตล์การเล่นของเบลเยียม เพราะเล่นฟุตบอลในแบบที่แฟนบอลอยากเห็น นั่นคือเกมบุกที่ไหลลื่น เน้นการพาบอลขึ้นหน้า และยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ เมื่อเทียบกับทุกทีมในทัวร์นาเมนต์ น่าจะถือว่าเบลเยียมเป็นทีมที่ “เล่นบอล” ได้ดีที่สุดแล้ว

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่า ทั้งที่มีเกมบุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมกับแข้งพรสวรรค์มากมาย แต่เมื่อนักเตะระดับท็อปเหล่านี้มารวมตัวกัน กลับไม่สามารถไปถึงเป้าหมายสูงสุดอย่างการเป็นแชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์เสียที

โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดคือการคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2018 โดยไปแพ้ให้แชมป์โลกปีนั้นอย่างฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ

ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นสักนิด การตกรอบยูโร 2016 ด้วยการปราชัยให้ทีมเล็กอย่างเวลส์ถือว่าน่าผิดหวังอย่างยิ่ง

 

ยูโรหนนี้ เบลเยียมเริ่มต้นรอบแรกได้อย่างน่าประทับใจ คว้าชัย 3 นัดรวด เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มบี มารอบ 16 ทีมสุดท้าย เจอแชมป์เก่า โปรตุเกส ถึงชนะมาได้ แต่ก็แค่สกอร์ 1-0 ด้วยฟอร์มที่ไม่ได้โดดเด่นนัก

ยิ่งมาเจอกับทีมอิตาลีที่เป็นการวมตัวของนักเตะที่ไม่มีสตาร์ในทีม แต่เป็นการผสมผสานระหว่างแข้งฝีเท้าดีรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ สุดท้ายเบลเยียมต้านไม่อยู่ พ่ายไป 1-2 แบบที่เกมรุกทำโอกาสเสียของหลายครั้ง

เทียบกับทีมใหญ่หลายๆ ทีมในทัวร์นาเมนต์นี้ ทั้งอิตาลี เยอรมนี อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ สเปน ทีมเหล่านี้ล้วนอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน เป็นช่วงรอยต่อระหว่างเจเนอเรชั่นเก่าและใหม่

ค่อนข้างต่างกับเบลเยียมที่นักเตะส่วนใหญ่ในทีมเล่นด้วยกันมานาน ความเข้าใจและเข้าขาน่าจะสุกงอมกว่า คล้ายๆ กับฝรั่งเศส

 

หลายคนตั้งคำถามว่า เมื่อต้องผิดหวังซ้ำอีกกับยูโร 2020 ถือว่าโอกาสสุดท้ายที่โกลเด้น เจเนอเรชั่นของปีศาจแดงแห่งยุโรปจะหลุดมือไปแล้วหรือไม่?

อาจจะเรียกว่าสิ้นสุดเส้นทางไม่ได้เต็มปากนัก เพราะปีหน้ายังมีทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่าง ฟุตบอลโลก 2022 รอให้แก้ตัวอีก

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า นักเตะหลายคนในทีมเบลเยียมชุดนี้อายุค่อนข้างมากแล้ว ทั้ง แยน แฟร์ต็องเก้น (34 ปี), โธมัส เวอร์มาเลน (35 ปี) และ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ (32 ปี) ต้องรอดูว่าจะอยู่ยาวไปถึงตอนนั้นหรือไม่

แต่ที่พอจะจุดประกายความหวังได้บ้างคงเป็น เฌเรมี่ โดกู ปีกวัย 19 ปี ที่โชว์ฟอร์มได้จัดจ้านน่าจับตามองมากๆ ในยูโรหนนี้

ให้เวลาอีกสักหน่อย อาจจะช่วยสานต่อความหวังช่วงปลายยุคทองของเบลเยียมได้ไม่มากก็น้อยทีเดียว