ไทม์เอาต์ / Red Monster/ถึงวันชี้ขาด ศึกชิงแชมป์สโมสรลูกหนังยุโรป

ไทม์เอาต์/Red Monster

ถึงวันชี้ขาด ศึกชิงแชมป์สโมสรลูกหนังยุโรป

 

เผลอแป๊บเดียว ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูโรป้าลีก กำลังจะตัดสินแชมป์กันแล้ว

เริ่มที่คู่ชิงยูโรป้าลีก บียาร์รีล พบ แมนฯ ยู คิกออฟคืนวันที่ 26 พฤษภาคม เวลา 02.00 น. หรือเช้ามืดวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สนามสตาดิโอน เอเนอร์กา กดันส์ก เมืองกดันส์ก ประเทศโปแลนด์

โดยรอบรองชนะเลิศ บียาร์รีลเฉือน อาร์เซนอล รวม 2-1 ส่วนแมนฯ ยูตะบัน โรม่า มาอย่างสนุก 8-5

บียาร์รีลกับแมนฯ ยูเคยบู๊ในเกมยุโรป 4 ครั้ง คือรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่น 2005/2006 และ 2008/2009 แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทุกแมตช์ล้วนจบที่สกอร์ 0-0

นัดชิงปีนี้แหละที่คู่นี้จะได้มีผู้แพ้ผู้ชนะกันเสียที

 

อูไน เอเมอรี่ กุนซือบียาร์รีล เก๋าประสบการณ์ถ้วยนี้พอสมควร เพราะเคยนำเซบีย่าคว้าแชมป์ 3 สมัยซ้อนเมื่อซีซั่น 2013/2014 ถึง 2015/2016 แถมยังพาอาร์เซนอลได้รองแชมป์ฤดูกาล 2018-2019 อีก และยังเคยกุมบังเหียนในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว น่าจะมีแผนเด็ดรอสู้ผีแดงแน่

ด้าน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีบทเรียนจากถ้วยนี้เมื่อซีซั่นที่แล้ว หลังพาผีแดงแพ้เซบีย่า 1-2 ในรอบตัดเชือก นัดนี้น่าจับตาว่าโซลชาร์จะงัดแผนไหนมาใช้ เพื่อไขว่คว้าถ้วยแชมป์แรกในฐานะกุนซือผีแดง

ริโอ เฟอร์ดินานด์, พอล สโคลส์ และโอเว่น ฮากรีฟส์ อดีตแข้งผีแดง แท็กทีมฟันธงว่า แมนฯ ยูจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะแม้เอเมอรี่กุนซือคู่แข่งจะมีดีกรีกวาดแชมป์ถ้วยนี้ แต่ด้วยขุมกำลังผีที่อัดแน่นไปด้วยแข้งดังฝีเท้าดีน่าจะเค้นฟอร์มเอาชนะได้

 

ด้านคู่ชิงศึกแชมเปี้ยนส์ลีก แมนฯ ซิตี้ ปะทะ เชลซี โม่แข้งกันคืน 29 พฤษภาคม เวลา 02.00 น. หรือเช้ามืดวันที่ 30 พฤษภาคม

เดิมทีสังเวียนรอบชิงเคาะไว้ที่ตุรกี แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 จึงย้ายไปเตะที่เอสตาดิโอ โด ดราเกา รังเหย้าของสโมสรปอร์โต้ในโปรตุเกสแทน

ผลงานเมื่อรอบรอง แมนฯ ซิตี้อัด เปแอสเช รวม 4-1 ส่วนเชลซีปราบ รีล มาดริด 3-1 นับว่ามาดีพอกัน

ในอดีตทั้งสองทีมเคยเจอกันในเวทียุโรปแค่ 2 นัดเท่านั้น ซึ่งต้องย้อนไปในศึกยูโรเปี้ยนคัพ วินเนอร์สคัพ รอบรองชนะเลิศเมื่อฤดูกาล 1970/1971

โดยเชลซีชนะ 1-0 ทั้ง 2 เกม

 

ด้านสถิติการเจอกันในประเทศ ดวลกันทั้งหมด 166 เกม เชลซีชนะ 68 นัด แมนฯ ซิตี้ชนะ 58 ครั้ง และเสมอกัน 40 หน เรียกว่าสูสีพอตัว

ส่วนเกมระดับรอบชิงที่เคยเจอกันเมื่อซีซั่น 2018/2019 คือศึกลีกคัพ เสมอ 0-0 ใน 120 นาที ก่อนเป็นแมนฯ ซิตี้เฉือนจุดโทษ 4-3

ขณะที่การบู๊กันซีซั่นนี้เมื่อเดือนมกราคม แมนฯ ซิตี้ชนะไป 3-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก แต่เชลซีเอาคืนได้อีก 2 นัดถัดมา คือเฉือน 1-0 ในรอบรองเอฟเอคัพในเดือนเมษายน และชนะ 2-1 ในพรีเมียร์ลีกเมื่อ 8 พฤษภาคม

แมนฯ ซิตี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรุกกับแท็กติกต่อบอลสุดเจ๋งของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เตรียมท้าชนอีกครั้งกับเชลซีที่แข็งแกร่งแน่นอนขึ้นตั้งแต่ โธมัส ทูเคิล คุมทีม

เอียน ไรต์ อดีตยอดกองหน้าปืนใหญ่บอกว่า จากเกมล่าสุดที่แมนฯ ซิตี้แพ้เชลซี 1-2 ยากที่จะวิเคราะห์ถึงนัดชิงบิ๊กเอียร์ เหตุเรือใบสีฟ้าพักตัวหลักหลายคน เชลซีทำได้ดีก็จริง แต่หากเป๊ปจัดเต็ม เช่น ส่งเควิน เดอ บรอยน์ กับ ริยาด มาห์เรซมาป่วนหนักๆ เชลซีจะยังรับมือได้ดีหรือไม่ จึงคิดว่าแมนฯ ซิตี้น่าจะเบียดซิวถ้วยไปได้

รูปเกม แมนฯ ซิตี้กับเชลซี และบียาร์รีลกับแมนฯ ยู ช่วงต้นคงจะเกร็งเล่นแบบเพลย์เซฟ แต่หากมีประตูแรกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รับรองสนุกแน่