วิเคราะห์ – ถอดบทเรียน “ช้างศึก” ถึงเวลาคิดใหม่ทำใหม่

ทีมฟุตบอล” “ช้างศึก” ยุติเส้นทางในศึก” “เอเชี่ยนคัพ 2019” ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังปราชัยให้กับทีมชาติจีน 1-2 ประตู

ทัวร์นาเมนต์นี้มีหลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้นกับทีมฟุตบอลไทย

ในแง่ของผลงานที่ออกมาการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปีได้นั้น ถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งกันไว้ก่อนไปโม่แข้ง

แต่เมื่อชำแหละรายละเอียดต่างๆ ออกมาดูกัน ต้องยอมรับกันว่าทีม” “ช้างศึก” ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้นำมาปรับปรุงแก้ไขจากบทเรียนที่ได้รับ 2 รายการต่อเนื่องตั้งแต่ชิงแชมป์อาเซียน” “ซูซูกิ คัพ” ที่ตกรอบรองชนะเลิศ และศึกเอเชี่ยนคัพ 2019

ก่อนไปรายการนี้ กุนซืออย่าง “มิโลวาน ราเยวัช” พร้อมทีมงานแบกรับความกดดันอย่างหนัก เพราะล้มเหลวมาชนิดโดนด่ากันอย่างหนักจาก” “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ”

ราเยวัชเลือกนักเตะชุดนี้ด้วยน้ำมือของเขาเอง เลือกในแบบฉบับของเขาเอง ที่แตกต่างจากชุด” “ซูซูกิ คัพ” คือการมี 3 ดาวดังอย่าง “มุ้ย” “ธีรศิลป์ แดงดา”, “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” และ “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน”มาเสริมทัพ

ออกสตาร์ตนัดแรก ทีมชาติไทยโดนทีมอย่างอินเดียถลุงยับเยิน 4-1 แบบเหลือเชื่อ ชนิดไม่มีแฟนบอลไทยคนไหนรับได้กับผลการแข่งขัน

คำก่นด่า คำสาปแช่ง คำตำหนิติเตียน จากแฟนบอลทะลักในโลกโซเชียลลุกลามบานปลายไปสะเทือนถึงเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ของคนระดับ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” จนทำให้ไม่กี่ชั่วโมงหลังเกมที่แพ้อินเดียจบลง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มีแถลงการณ์ปลด “มิโลวาน ราเยวัช” พ้นจากกุนซือทีมชาติไทยทันที

พร้อมกับแต่งตั้ง “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย อดีตปีกทีมชาติไทยขึ้นเป็นกุนซือชั่วคราวเพราะอยู่กับทีมชุดนี้มานาน แถมยังอยู่หน้างานเป็นหนึ่งในทีมสต๊าฟโค้ชของราเยวัชอยู่ด้วย โดยให้ “ไอ้กระยางดำ” โชคทวี พรหมรัตน์ ที่อยู่หน้างานเช่นกันเป็นผู้ช่วย

ประเด็นเรื่องการปลดโค้ชกลางอากาศ การเปลี่ยนม้ากลางศึก เป็นลีลาการเล่นบทโหดของอดีต ผบ.ตร. เมื่อได้เวลาเชือดก็ต้องเชือด ถึงเวลาโหดก็ต้องโหด ตรงจุดนี้ผมเห็นด้วย แม้จะเป็นวัฒนธรรมฟุตบอลที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ค่อยทำกันก็ตาม

การมาของ” “โค้ชโต่ย” กับ” “โค้ชโชค” ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับให้รับๆ” “เผือกร้อน” ไปก่อนให้จบทัวร์นาเมนต์ ทำนองว่า อนาคตเดี๋ยวค่อยไปว่ากัน คล้ายๆ กับว่า ณ ตอนนั้นหลายฝ่ายก็จะถอดใจถึงโอกาสในการเข้าสู่รอบ 16 ทีมของทีม” “ช้างศึก”

แต่” “โค้ชโต่ย+โค้ชโชค” และนักเตะ” “ช้างศึก” กลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาพิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า พวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน นัดแพ้อินเดีย ทุกคนโดนแฟนบอลด่ากันเละเทะ แต่พวกเขากลับลืมฝันร้าย เริ่มต้นกันใหม่ได้ทันเวลา

ผมไม่รู้ว่า” “โค้ชโต่ย” ปิดห้องคุยกับพวกนักเตะอย่างไร ปลุกขวัญกันอย่างไร แต่มั่นใจว่า แกคงมีจิตวิทยาสูงมากพอที่จะเรียกศรัทธา ซื้อใจนักเตะชุดนี้ได้ จนพวก” “ช้างศึก” กลับมาได้ในนัดที่ 2 ที่ชนะบาห์เรน 1-0 และนัดสุดท้ายมาเสมอกับ “เจ้าภาพ” 1-1

เกี่ยวก้อยกันเข้ารอบเป็นประวัติศาสตร์ของไทยในรอบ 47 ปี

พอเข้ารอบ 16 ทีมไปแล้ว มันเหมือนเป็นการปลดล็อกความกดดันของโค้ช และนักเตะไปได้ ตัวของ” “บิ๊กอ๊อด” เองก็คงโล่งใจไประดับหนึ่งที่ทำได้ตามที่ประกาศไว้ เช่นเดียวกับแฟนบอลก็มีศรัทธากลับมารัก กลับมาเชียร์ทีมชาติไทย

นัดที่แพ้จีน 1-2 ผมเสียดายแทนเพราะเราอุตส่าห์นำจีนไปก่อน จากการชาร์จของ “ศุภชัย ใจเด็ด” และเราก็นำอยู่ 1-0 หลังจบครึ่งแรก แต่พอครึ่งหลัง “มาเซโล่ ลิปปี้” กุนซือที่พกดีกรีระดับแชมป์โลกก็พิสูจน์ถึงกึ๋นระดับเทพแก้เกมลงมาได้อย่างดี และมากด 2 ลูกแซงไทยไปแบบสุดแสบ

ผมยังเสียดายไม่หาย เราแพ้ความเก๋า เราแพ้ความเคี่ยว เราแพ้กระดูกฟุตบอล เราแพ้เรื่องความฟิต ทั้งๆ ที่รูปเกมของเรานัดเจอจีน เราก็สู้ได้ดี ต่อกรอย่างสนุก แม้ก่อนเตะเราจะเป็นรอง

แต่ที่น่าเจ็บใจแทนพวกนักเตะ” “ช้างศึก” เพราะยังมีแฟนบอลเกรียนไปรุมถล่มด่านักเตะช้างศึก 2 ราย คนแรก “ชนานันท์ ป้อมบุปผา” ที่ลงมาแทนศุภชัย ใจเด็ด อีกคนคือ “เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว” ปราการหลังของทีม ทั้งคู่โดนด่าแบบสาดเสียเทเสีย ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของทั้ง 2 คนเลย

ทุกคนทำหน้าที่เพื่อชาติในสนามแข่งขันได้อย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น ฝากไปถึงน้องทั้ง 2 คนว่า ให้นึกประโยคที่ว่า” “ช่างหัวมัน” ทั้ง 2 คนควรได้รับกำลังใจจากแฟนบอลดีๆ ที่มีในส่วนมาก

ถามพวกเกรียนหน่อยเถอะว่า ก่อนเตะพวกคุณคิดว่าเราเหนือทีมชาติจีนอย่างนั้นหรือ? แล้วการที่ทีม” “ช้างศึก” แพ้แบบสู้ได้ แพ้แบบเกือบจะชนะ แพ้แบบได้ใจแฟนๆ มันสมควรแล้วหรือที่จะไปถล่มพวกเขา

จบเรื่องแฟนบอลไปเพราะคงแก้กันยาก มันอยู่ใน” “กมลสันดาน” ของแต่ละคนไปแล้ว

“ซู”ซูกิ คัพ” ต่อเนื่องมาถึง” “เอเชี่ยนคัพ” คงเป็นบทเรียนอย่างดีให้กับ” “บิ๊กอ๊อด” และผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คนอื่นๆ ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ควรแก้ไขปัญหาอย่างไร

เรื่องแรก เรื่องโค้ชที่จะมาทำหน้าที่ ขออนุญาตสอนจระเข้ว่ายน้ำหน่อยเถอะ ถ้าเราปักธงไปว่า เราจะเลือกใช้บริการโค้ชต่างชาติเหมือนที่ล้มเหลวกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ขี้เกียจจะนับ แล้วเราก็ไม่เข็ดอยู่นั่นแหละ เราก็ควรเลือกโค้ชที่มันทำฟุตบอลเหมาะกับสรีระร่างกายนักเตะไทย สไตล์บอล” “ช้างศึก”

เลิกซะทีเถอะโค้ชยุโรป ที่นี่ประเทศไทยนะ นักเตะเราตัวเล็ก เบสิกดี คล่องตัวสูง เราต้องเล่นแบบอเมริกาใต้ โค้ชอาร์เจนตินา โค้ชบราซิล โค้ชสเปน โค้ชเม็กซิโก มันควรจะอยู่ในสารบบการถูกเลือกมาทำทีมชาติไทยมากกว่าโค้ชอังกฤษ โค้ชเยอรมนี โค้ชเซอร์เบีย มิใช่หรือ…???

หรืออย่างน้อยๆ ถ้าเราจะเสี่ยงอีก เราก็มองไปที่ญี่ปุ่น มองไปที่เกาหลีใต้ พวกเฮี้ยบๆ มาเลย ดีกว่าไหม เรียกว่าวิ่งกันชนิด 120 นาทีไม่มีหมดกันไปเลย เอาหรือไม่?

แต่ถ้าเราสรุปว่าเราจะใช้โค้ชคนไทยมาคุมทีม ตัวเลือกอันดับ 1 อย่าง “ซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ที่เคยสร้างผลงานโดดเด่นไว้ก่อนหน้านี้คงคัมแบ๊กกลับมาคุมทีมยากในยุคสมัยนี้ เราก็ต้องมองหาโค้ช” “โปรไลเซนส์” คนอื่น

ผมอยากเสนอว่า เราลองมาใช้ระบบ “โค้ชคนคู่” ดีไหม ย้ำว่าแค่เสนอ ไม่เห็นด้วยไม่ว่ากัน เราให้อำนาจการตัดสินใจ 2 คนเท่าๆ กัน ไม่มีใครเป็นเฮดใคร ทำงานจะได้ปรึกษากัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันตัดตัวนักเตะ

อีกเรื่องที่สำคัญ ต้องอย่าให้อำนาจการบริหารงานด้านเทคนิคตกอยู่ที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งเหมือนปัจจุบัน เพราะถ้าออกทะเล แล้วก็จะออกทะเลกันทั้งระบบ

ทำไมเราไม่ตั้ง” “คณะกรรมการฝ่ายเทคนิคฯ” โดยมีองค์ประกอบคือ โค้ชระดับสูงจากทุกสโมสรไทยลีก โค้ชมากประสบการณ์ในวงการฟุตบอลไทยมีเยอะแยะ ดึงมาร่วมทำงานกันในรูปคณะกรรมการ มีผู้ทรงคุณวุฒิ มีตัวแทนสื่อมวลชนกีฬาสายฟุตบอลระดับขาใหญ่เข้าร่วมสัก 1 คน (เพื่อคอยห้ามศึก)

คณะกรรมการฝ่ายเทคนิคฯ ก็มีหน้าที่จัดทำโปรแกรมแข่ง โปรแกรมซ้อมของทีมชาติให้สอดคล้องกับฟุตบอลลีก หรือแม้กระทั่งการตัดตัวนักเตะ ก็ควรทำร่วมกับสต๊าฟโค้ชเพื่อขจัดปัญหา” “เด็กเส้น” กันไป

ลองคิดดูว่าแนวทางที่ว่ามาดีหรือไม่ ถ้าดีนำไปเป็นแนวทาง ถ้าไม่ดีก็อย่าต่อว่ากัน

เพราะผมก็มีสิทธิ์เสนอในฐานะผู้เล่นคนที่ 12 ทีม “ช้างศึก”…