“กำปั้นไทย” ปรับทัพครั้งใหญ่ “ฟอนตาเนียล” นำทีมลุย อลป.

สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ขยับตัวครั้งสำคัญด้วยการปรับกระบวนทัพกำปั้นไทยครั้งใหญ่อีกระลอก ซึ่งเป็นครั้งสำคัญที่มีความหมายแบบ “วัดดวง” ขั้นเด็ดขาด ซึ่งก็คือการบอกเลิกสัญญากับ “โค้ชเซเดโย่” จูเลี่ยน ริคาร์โด้ กอนซาเลส เซเดโย่ โค้ชมวยสากลชาวคิวบา

พร้อมกับปรับปรุงสัญญาใหม่ ด้วยการแต่งตั้งฮวน ฟอนตาเนียล โค้ชชาวคิวบา สัญชาติเม็กซิกัน ขึ้นแท่นเป็นหัวหน้าโค้ชทีมชาติไทย ซึ่งจะทำหน้าที่ดูแลนักมวยสากลทีมชาติไทย ทั้งทีมชายและทีมหญิงแบบเบ็ดเสร็จ

จากเหตุผลหลายประการที่ทำให้กลายเป็นบทสรุปว่า ผลงานยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำให้ได้บอกเลิกสัญญาจ้างโค้ชเซเดโย่ ซึ่งหลังจากโค้ชคิวบารายนี้ พร้อมด้วยผู้ช่วยคืออเล็กซ์ มาทำหน้าที่ในไทยได้ 2 ปี ตั้งแต่สิ้นสุดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งทัพกำปั้นไทยล้มเหลวไร้เหรียญรางวัล

ขณะที่โค้ชฟอนตาเนียล อดีตโค้ชทีมชาติไทยนั้น หวนกลับมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าโค้ชทีมมวยสากลหญิงไทย เมื่อเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งปรากฏว่า ผลงานของฟอนตาเนียลในช่วงแค่ 9 เดือนนั้น เป็นที่น่าพอใจของผู้บริหารสมาคมกีฬามวยสากลฯ เมื่อนักมวยหญิงไทยประสบความสำเร็จ ทั้งระดับเยาวชน และระดับประชาชน อย่างเห็นได้ชัดเจน

จนเกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพื่อยกระดับวงการกำปั้นไทยให้แข็งแกร่งขึ้น และเพื่อเป้าหมายทวงเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้า…

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น หมายถึงฟอนตาเนียลต้องทำงานหนักเป็นทบทวีคูณ จึงมีการเสริมทีมโค้ชให้กับฟอนตาเนียลเพื่อแบ่งเบาภาระ ซึ่งฟอนตาเนียลยังมีทีมงานชุดเดิมในการรับผิดชอบทีมชาติหญิง ทั้งระดับรุ่นทั่วไปและเยาวชน รวมทั้งยุวชนที่จะเพิ่มเติมขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

ส่วนทีมชาติชายชุดใหญ่นั้น ฟอนตาเนียลตอบตกลงเสริมทีมโค้ชชุดใหม่ ด้วย 2 อดีตกุนซือทีมชาติไทยรุ่นใหญ่ คือ สุภาพ บุญรอด และกามนิตย์ นารีรักษ์ รวมทั้งทีมโค้ชคนอื่นๆ นั้น ฟอนตาเนียลได้ร่วมกับสุภาพและกามนิตย์ ได้พิจารณาคัดเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย

สำหรับฟอนตาเนียลมีคิวเดินทางกลับบ้านไปคิวบาและเม็กซิโก เพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ ในปลายเดือนธันวาคม 2561 แล้วจะกลับเมืองไทยมาภายในปลายเดือนมกราคม 2562

ซึ่งระหว่างนั้น ฟอนตาเนียลได้จัดทำแผนงานการฝึกซ้อม การเตรียมความพร้อมของนักชกไทย ทั้งทีมชายและทีมหญิง ให้กับสต๊าฟโค้ชชาวไทยไปทำงานกันเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดโปรแกรมของทีมชาติไทยชุดใหญ่ ทั้งทีมชายและทีมหญิง ภายใน 6 เดือนแรกของปีหน้า 2562 ไว้แล้วเช่นกัน จากนั้น เมื่อฟอนตาเนียลกลับเมืองไทยแล้ว จะเริ่มทำงานแบบเต็มอัตราศึกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป

ฟอนตาเนียลกล่าวว่า ยอมรับว่าการรับผิดชอบทีมชาติไทยชุดใหญ่ ทั้งทีมชายและทีมหญิง ภายใต้เป้าหมายไปสู่การคว้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ “โตเกียว 2020” นั้น เป็นเรื่องที่น่าหนักใจก็จริง แต่ก็มีโอกาส มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยเช่นกัน

“ผมต้องทำงานหนักมากขึ้น แต่มั่นใจในสต๊าฟโค้ชว่า เราจะช่วยกันทำงานให้ทีมชาติไทยไปสู่เป้าหมายให้ได้ พวกเราต้องการให้คนไทยทุกคนมีความสุข โดยส่วนตัวแล้ว ผมมั่นใจนักมวยไทยมากนะ แต่เราต้องทำงานหนักมากๆ เพราะมาตรฐานมวยสากลทุกวันนี้ดีกว่าเดิมหลายเท่า ชาติอื่นๆ ก้าวหน้าไปมากแล้ว เราต้องสู้กับเขาให้ได้ ผมเชื่อว่าไทยเอาชนะเขาได้เหมือนกัน เรามีโอกาส ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส”

เฮดโค้ชกำปั้นชาวคิวบากล่าวอีกว่า การได้กลับมาทำงานในเมืองไทย กับวงการมวยสากลไทยนั้น ทำให้ตัวเองมีความสุขใจ และมั่นใจในการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้บริหารของสมาคมกีฬามวยสากลฯ ชุดปัจจุบันมีความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ และมีความตั้งใจจริง ทุ่มเททุกอย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อแม้ และไม่ท้อถอย

ฟอนตาเนียลบอกอีกว่า ยังจำได้ดีถึงการแข่งขันมวยสากลหญิง “จีพีพี แชมเปี้ยนชิพ 2018” และนายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม ที่ปรึกษาสมาคมกีฬามวยสากลฯ ผู้จัดการแข่งขันรายการนี้ และเป็นผู้จุดประกายมวยสากลหญิงในเมืองไทยขึ้นมา เพราะนี่คือสาเหตุและเหตุผลที่ทำให้ตัวเองได้กลับมาทำงานในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

“หลักการทำงานของผม ง่ายๆ ตรงไปตรงมา คือ ระเบียบวินัย สำคัญที่สุด และการให้โอกาส ให้ความยุติธรรมสำหรับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน”

สำหรับผลงานของนักชกทีมหญิงไทยที่ผ่านมานั้น ฟอนตาเนียลยืนยันว่ายังไม่ถึงที่สุด เพราะนักมวยหญิงไทยจะไปได้ไกลมากกว่านี้อีกแน่นอน แต่ต้องทำงานหนักอย่างเต็มที่ ตลอดเวลา และเต็มเวลา

จากผลงานการคุมทัพกำปั้นสาวไทยที่ผ่านมา ทำให้ฟอนตาเนียลได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนนักกีฬาต่างประเทศดีเด่น ในงานประกาศเกียรติคุณนักกีฬาและบุคลากรทางการกีฬาดีเด่น เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจำปี 2561 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) อีกด้วย

ขณะที่ในส่วนของนักมวยสาวทีมชายไทยนั้น ฟอนตาเนียลยังมั่นใจในพื้นฐานของนักมวยไทยว่าสามารถพัฒนาก้าวไปสู่ระดับโลก ระดับโอลิมปิกเกมส์ได้อีกครั้งหนึ่ง ยิ่งได้เห็น ได้รับรู้ถึงการทำงานอันทุ่มเทของสมาคมกีฬามวยสากลฯ ชุดปัจจุบันแล้ว ก็ยิ่งมั่นใจว่า นักมวยไทยมีความสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้แน่นอน

เพียงแต่ว่า ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทำงานหนักอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุด ภายในระยะเวลาที่มีอยู่เพียง 1 ปีกับอีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง!!!

นี่คือความเปลี่ยนแปลงของวงการมวยสากลไทย และสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ในสถานการณ์อันเข้มข้นของการก้าวไปสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ “โตเกียว 2020” ท่ามกลางสถานการณ์อันไม่แน่นอนของสหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (ไอบ้า) รวมทั้งองค์กรมวยสากลโลกยุคปัจจุบันที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้

แต่วงการกำปั้นไทยจะต้องเตรียมความพร้อมทุกด้าน เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ไว้ก่อน และจะต้องมองไปถึงเป้าหมายสูงสุดที่เคยทำได้ นั่นคือ การคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์เหรียญที่ 5 ของทีมมวยสากลไทยในรอบกว่า 12 ปี!