ย้อนดูหนทางที่ไม่ง่าย แต่ “เจ้าสัววิชัย” ฮีโร่ผู้ล่วงลับ กลับทำได้

เวลาประมาณ 02.30 น. ของคืนวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา กลายเป็นค่ำคืนแห่งความสูญเสีย เป็นค่ำคืนแห่งความโศกเศร้าของคนไทยและชาวเมืองเลสเตอร์ รวมถึงคนวงการฟุตบอลจากทั่วโลก

หลังจบแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่เจ้าบ้าน “จิ้งจอกสยาม” “เลสเตอร์ ซิตี้” ไล่เจ๊า “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” 1-1 ที่คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม” “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา”” ประธานสโมสรชาวไทย ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว Agusta Westland AW 169 เพื่อกลับที่พักที่กรุงลอนดอนตามปกติเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

จู่ๆ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเครื่องลำดังกล่าวเทกออฟขึ้นได้เพียง 2 นาที เกิดเหตุระทึกเมื่อใบพัดท้ายเครื่องไม่ทำงาน เป็นเหตุให้เฮลิคอปเตอร์สูญเสียการควบคุม และหมุนส่ายไปตกที่บริเวณลานจอดรถข้างคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม จนเกิดระเบิดและไฟโหมรุกไหม้พักใหญ่

ตอนแรกทั่วโลกได้แต่ภาวนาให้ทุกคนปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งรายงานข่าวช่วงแรกสับสนมากว่า “คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของคิงเพาเวอร์ชาวไทย และประธานสโมสรเลสเตอร์ อยู่บนเครื่องด้วยหรือไม่

กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงในการเข้าตรวจสอบเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด

ต่อมาสโมสรเลสเตอร์ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าเจ้าสัววิชัยเป็นหนึ่งในผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว พร้อมกับคนอื่นๆ อีก 4 คน ประกอบด้วย น.ส.นุสรา สุขหน้าไม้ ผู้ติดตาม, นายกวีพร พรรณแพร ผู้ติดตาม, อีริก สวาฟเฟอร์ นักบิน และ อิซาเบลล่า โรซ่า ลีโชวิซ ผู้โดยสาร

การสูญเสียดังกล่าวนำมาซึ่งความเศร้าสะเทือนใจแก่คนในสโมสร แฟนบอล รวมถึงชาวเมืองเลสเตอร์ที่รักและเคารพในตัวเจ้าสัววิชัย โดยได้มีผู้คนมากมายที่เดินทางนำดอกไม้มาวางไว้นอกสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม เพื่อรำลึกถึงเจ้าสัววิชัย

ไม่เพียงแต่ชาวเมืองเลสเตอร์ที่รู้สึกใจหายกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คนไทยเองก็เฝ้าติดตามข่าวคุณวิชัยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคนวงการฟุตบอลทั้งโค้ช นักเตะ รวมถึงแฟนบอล

เพราะภาพของคุณวิชัย เจ้าสัวระดับแสนล้าน เจ้าพ่อคิงเพาเวอร์ เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่รักและหลงใหลในกีฬาฟุตบอล และขี่ม้าโปโลเป็นพิเศษ ทุกๆ ครั้งที่มีกิจกรรมกีฬาไม่ว่าจะจัดการแข่งขันหรือมอบรางวัลโน่นนี่นั่น คนจัดงานกีฬามักเข้าไปขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา ทั้งในด้านงบประมาณและสถานที่จัดงาน ซึ่งเจ้าสัววิชัยไม่เคยปฏิเสธสักครั้งหากว่าเป็นกิจกรรมงานเพื่อสังคมและกีฬา

นั่นทำให้คนกีฬารักและเคารพ “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” เป็นอย่างมาก เจ้าสัววิชัยเป็นผู้ปิดทองหลังพระต่อวงการกีฬาเมืองไทยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะวงการฟุตบอล

ด้วยความฝันที่จะได้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอล “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” จึงได้ทุ่มงบประมาณเข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ด้วยงบประมาณ 39 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยตอนนั้น เลสเตอร์จมอยู่ในศึกวันแชมเปี้ยนชิพ หรือลีกวัน ด้วยซ้ำ

เจ้าสัววิชัยเข้าไปถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 51 ก่อนก้าวขึ้นเป็นประธานสโมสรในปีต่อมา

พร้อมมอบหมายให้ “ต๊อบ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา บุตรชายคนเล็ก รับหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการทีม ในตำแหน่งรองประธานสโมสร

ช่วงแรกเจ้าสัววิชัยโดนดูแคลนว่า นักธุรกิจชาวเอเชียเข้าไปถือหุ้นใหญ่สโมสรเลสเตอร์ ก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ไม่ได้หวังจะพัฒนาทีมอย่างจริงๆ จังๆ

แต่เจ้าสัววิชัยและลูกชายอัยยวัฒน์ไม่สนใจเสียงวิจารณ์ เดินหน้าสานฝันลุยบริหารงานอย่างมืออาชีพ วางแผนการเตรียมทีมอย่างเป็นระบบ มีแผนระยะยาวของสโมสร ทำให้เพียงแค่ 3 ปีหลังจากเจ้าสัววิชัยและลูกชายอัยยวัฒน์เข้าไปบริหารงาน เลสเตอร์ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพ หรือดิวิชั่น 1 พร้อมตีตั๋วคัมแบ๊กสู่ลีกสูงสุดพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

ทันทีที่ขึ้นสู่ลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2013/2014 เจ้าสัววิชัยประกาศจะพาทีมไปเล่นบอลถ้วยยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ให้ได้ภายใน 3 ปี

ใครจะคิดว่า เจ้าสัววิชัยกับลูกชายทำได้จริงๆ เลสเตอร์เขียนบันทึกประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับสโมสรด้วยการคว้าบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2015-2016 เป็นการประกาศก้องให้โลกรู้ว่า” “คนไทยก็ทำได้””

ปรากฏการณ์เลสเตอร์ฟีเวอร์ทำให้ชื่อของเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา และอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา โด่งดังชนิดพลุแตก กลายมาเป็นที่พูดถึงกันทั่วสหราชอาณาจักร

ภาพของความยิ่งใหญ่ กับแชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ถูกต่อยอดแม้จะยังไม่ดีพอต่อการป้องกันแชมป์ในปีถัดมา แต่จิ้งจอกสยามยังคงได้โลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

เจ้าสัววิชัยเป็นคนที่มีความกันเองเป็นที่ตั้ง ชาวเมืองเลสเตอร์เองรู้ดีว่าเขาทำอะไรที่มากกว่าการเป็นประธานสโมสรฟุตบอล

เขามอบเงินเพื่อเป็นทุนให้โรงพยาบาลในเมือง

ช่วยสนับสนุนเด็กท้องถิ่นในทุกโอกาสสำคัญ

ที่สำคัญ เขาเดินอยู่ในเมืองนี้ด้วยรอยยิ้ม และมีผู้คนเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มแบบสยาม

ในส่วนของเมืองไทย เจ้าสัววิชัยเล็งเห็นถึงการพัฒนาทักษะฟุตบอลและต่อยอดความสำเร็จของนักเตะเยาวชนไทย จึงได้ริเริ่มจัดตั้งโครงการ” “ฟ็อกซ์ ฮันท์”” ที่เป็นการปูทางให้เยาวชนไทยเดินทางไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบยั่งยืน โดยเยาวชนไทยที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับทุนการศึกษาและฝึกทักษะฟุตบอลที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้

นอกจากนี้ เจ้าสัววิชัยยังต้องการขยายฐานคิงเพาเวอร์ไปในประเทศเบลเยียมโดยอาศัยฟุตบอลเป็นสื่อกลาง จึงได้เข้าไปซื้อกิจการของ “ทีมโอเอช ลูเวิ่น” ในลีกทูของเบลเยียมเพิ่มอีก 1 ทีม เมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ต่อมาได้เซ็นสัญญาให้ “ตอง” “กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์”ประตูมือ 1 ทีมชาติไทยไปเฝ้าเสาที่เบลเยียม

ปลดล็อกนักเตะไทยในการค้าแข้งลีกยุโรปไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เจ้าสัววิชัยเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งมารับประทานอาหารกับผู้บริหารเครือมติชนเกี่ยวกับเรื่องการผลักดันเด็กไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นนักเตะอาชีพว่า

“ผมขอใช้ประโยชน์เลสเตอร์ อะคาเดมี คิงเพาเวอร์สามารถทำโครงการแลกเปลี่ยนการถ่ายทอดทักษะ เทคนิค วิธีเล่นระดับอินเตอร์แก่เยาวชนไทย เพราะหลักการฝึกเขาใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อาหาร พลังงาน ประเมินผลพัฒนาการทุกส่วนด้วยประสิทธิภาพสูง ต่างจากบ้านเราไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ ผมคิดเรื่องนี้ทันทีที่เซ็นสัญญา นอกจากพัฒนาฟุตบอลเยาวชนไทยแล้ว ยังควรต้องยกระดับประเทศไทย ทำกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางอะคาเดมีดีที่สุดของเอเชีย อนาคตผู้ปกครองไม่ต้องส่งลูกหลานไปถึงอังกฤษ มาที่นี่ก็ฝึกในรูปแบบเดียวกัน”

“ผมตกลงกันไว้จะนำโค้ชจากเลสเตอร์และนักเตะเยาวชนบางส่วนมาสอนแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ รวมถึงเมื่อเปิดอะคาเดมีแล้วก็ส่งเด็กไปฝึกที่อังกฤษด้วยเพื่อปั้นเข้าสู่สโมสรอื่นที่สนใจ ผมคงไม่หยุดแค่นี้ อนาคตวางแผนจะนำซูเปอร์สตาร์นักเตะระดับโลก สร้างแมตช์จัดการแข่งขันในไทย สร้างชื่อเสียงให้ประเทศดังไปทั่วโลก แถมได้ช่วยขยายผลด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน เพราะซูเปอร์สตาร์เหล่านี้สามารถเป็นประตูเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีอื่นๆ แก่คนไทยได้อีกมาก” เจ้าสัววิชัยกล่าวไว้เมื่อครั้งมาเยือนมติชน

คุณูปการที่ “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” ผู้ล่วงลับได้ปรารภไว้เมื่อครั้งมาเยือนที่มติชนนั้นเห็นได้ชัดว่า ได้วางแผนเป็นกระบวนการ ทุกองคาพยพในด้านการทำฟุตบอลแบบมืออาชีพถูกวางแผน และเตรียมไว้เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยเพื่อสักวันหนึ่งจะได้เห็นนักเตะไทยมีฝีเท้าดีพอที่จะไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ตามเจตนารมณ์สูงสุดที่เจ้าสัววิชัยและลูกชายคนเล็กอย่างอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ต้องการเห็น

“เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” เหนื่อยมามากแล้วสำหรับธุรกิจของตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่องานสังคม เพื่องานวงการกีฬา เพื่อเพื่อนฝูง เพื่อพี่น้อง เพื่อลูกน้อง ฯลฯ

นับจากนี้ต่อไป บรรดาลูกๆ นำโดย “ต๊อบ” “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” จะสืบสานเจตนารมณ์ของเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา

ขอร่วมไว้อาลัยและยกย่องในหัวใจของเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ล่วงลับ…