เผยแพร่ |
---|
วันนี้ เมื่อ 50 ปีก่อน คือ วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2518 กองทัพเขมรแดง ได้ประกาศชัยชนะ หลังการเข้ายึดกรุงพนมเป็ญ สิ่งที่ตามมานอกเหนือจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติยุคใหม่ ที่ทำให้ชาวกัมพูชาอย่างน้อย 1.7 ล้านคนเสียชีวิตแล้ว ข้อมูลที่เปิดเผยภายหลังยังชี้ว่านี่เป็นช่วงเวลาของวิกฤติด้านความมั่นคงที่สุดครั้งหนึ่งของไทย เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีพรมแดนติดกับประเทศคอมมิวนิสต์ ผู้นำกองทัพ ยอมรับกับ นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า ในกรณีที่เกิดการรุกรานของกองกำลังคอมมิวนิสต์ข้ามชายแดนเข้ามา กองทัพไทยสามารถรับมือได้ 3 วัน
หลังการรบที่ยืดเยื้อมานาน 5 ปี เข้าสู่ช่วงต้นปี 2518 สถานการณ์สู้รบระหว่างกองกำลังเขมรแดง และกองทัพรัฐบาลจอมพลลอนนอลที่หนุนหลังโดยสหรัฐฯ คับขันยิ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ”รายงานว่า เข้าสู่เดือนมีนาคม ประเทศต่างๆที่มีสถานทูตเริ่มการอพยพคนของตนออจากกรุงพนมเปญเป็นส่วนมาก
1 เมษายน จอมพล ลอนนอล ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐเขมร แล้วเดินทางลี้ภัยออกจากกรุงพนมเปญมาลงเครื่องบินที่อู่ตะเภา ประเทศไทย ทหารฝ่ายเขมรแดงทวีการโจมตีเมืองหลวงพนมเปญหนักมือยิ่งขึ้น
4 เมษายน การรุกรบของฝ่ายเขมรแดงประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเป็นอันมากเพราะสามารถเข้าถึงชานเมืองพนมเปญแล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าเขมรแตกแล้ว สร้างความปั่นป่วนโดยทั่วไป ด้านนายเขียน คีริน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเขมร ว่าเขมรจะไม่แตกหากสหรัฐฯและประเทศไทยช่วยเขมรอย่างจริงจัง
16 เมษายน การรบในจังหวัดรอบนอกและในกลุ่มพนมเปญเริ่มขึ้นและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทหารฝ่ายรัฐบาลจำนวนมาก ยอมจำนนทั้งที่ไม่มีคำสั่ง ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียที่มั่นไปเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอพยพลี้ภัยไปยังประเทศใกล้เคียงต่างๆมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย การเดินทางติดต่อภายในประเทศเขมรถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิงข้าราชการส่วนใหญ่เริ่มแปรพักตร์เข้ากับฝ่ายเขมรแดง ไทยประกาศปิดพรมแดนเมื่อเวลา 18.00 น.
ผู้สื่อข่าวตะวันตกรายงานจากกลุ่มพนมเปญว่าสถานการณ์รอบๆเมืองหลวงของเขมรเมื่อตอนเช้าวันที่ 17 เมษายน อยู่ในสภาพสับสนอลหม่านอย่างหนัก กองทหารฝ่ายเจ้าสีหนุและเขมรแดงรุกเข้ามาในเมืองทั้งทางด้านตะวันตกและด้านเหนือ ทำให้เขตเมืองกลายเป็นสมรภูมิรบอย่างดุเดือด ประชาชนแตกตื่นหนีภัยสงครามเข้ามาใจกลางเมืองทำให้การจราจรติดขัดไปหมด และในเวลา 8.30 น. ทหารฝ่ายรัฐบาลประกาศวางอาวุธยอมจำนนทั่วประเทศ คณะรัฐมนตรีรัฐบาลลอนนอลซึ่งอยู่ในพนมเปญเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเขมรเพื่อเป็นสื่อมอบตัวฝ่ายเขมรแดง ตามมาด้วยคำประกาศชัยชนะผ่าน วิทยุพนมเปญ
“สงครามรุกรานของจักรพรรดินิยมอเมริกาและบริวาร ได้ถูกกองทัพประชาชนรัฐบาลสามัคคีแห่งประชาชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาตีแตกพ่ายไปในที่สุด หลังจากที่รัฐบาลสามัคคีประชาชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาประชาชนแห่งกองทัพแนวร่วมปลดแอกประชาชนได้สู้รบมาอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและได้รับความทุกข์เวทนายิ่งเป็นเวลาถึงห้าปี ไชโยกองทัพปฏิวัติกัมพูชาที่เข้มแข็งและกล้าหาญมีชัยชนะทุกเมื่อ”
ทหารเขมรแดงกำลังขึ้นเจรจากับเจ้าหน้าที่ผ่ายไทยถามหาตัว พลจัตวาอินตัมอดีตนายกรัฐมนตรีเขมรที่ลี้ภัยอยู่ในไทยโดยมี ลวดหนามขวางกั้นกลางบนสะพาน เชื่อมเขตแดนที่ด้านคลองลึกอรัญประเทศ (ภาพจาก “ประชาชาติ” ฉบับวันที่ 20 เม.ย.18)
ทหารเขมรแดง หอบจรวด อาร์.พี.จี. และอาวุธประจำตัวเข้าสู่ปอยเปต (ภาพจาก “ประชาชาติ”)
ไทยปิดพรมแดนที่ด่านปอยเปต (ภาพจาก “ประชาชาติ”)
ส่วนปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศไทยในวันนั้น “ประชาชาติ” รายงานว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสภาว่ารัฐบาลจะต้องศึกษาดูนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลเจ้าสีหนุเสียก่อน จะผลีผลามรับรองไม่ถูกต้องแน่และขณะที่พักประชุมสภาตอนเที่ยง นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องพนมเป็ญแตกอีกว่า ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไรเพราะรัฐบาล ได้เตรียมการไว้หมดแล้ว
พลตรีประมาณ อดิเรกสาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม “เรามีแผนทุกแผนเตรียมรักษาการไว้ทุกอย่างแล้วและได้สั่งให้กระทรวงมหาดไทยปิดชายแดนเขมรทั้งหมดเพื่อป้องกันการลักลอบเข้ามาของทหารเขมรและเขมรแดง”
พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ “ประเทศไทยจะรีบรับรองรัฐบาลเขมรใหม่โดยเร็วที่สุดผมสบายใจแล้วที่เขมรหยุดยิง”
พลเอกกฤษณ์ สีวะรา รักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกไปตรวจเยี่ยมทหารที่ศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี
นายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ “ประเทศไทยน่าจะรับรองรัฐบาลสีหนุมานานตั้งแต่ลอนนอลหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
นายพิชัยรัตตกุล อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรัฐบาลประชาธิปัตย์ “รัฐบาลควรรับรองรัฐบาลเจ้าสีหนุในวันนี้
นายเขียน ธีรวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอินโดจีน “ความมั่นคงของไทยอยู่ที่นโยบายอิสระต้องเป็นมิตรกับทุกประเทศเลิกนโยบายรบนอกบ้าน”
นายยอดธง ทับทิวไม้ สมาชิกพรรคสังคมนิยม “ไม่ตื่นเต้น ถึงอย่างไรพนมเปญก็ต้องแตก อเมริกาอยู่ประเทศไหนประเทศนั้นต้องแตก”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้มีการเปิดเผยภายหลังพบว่า การล่มสลายของกรุงพนมเป็ญ ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับรัฐบาล และบุคคลชั้นนำของประเทศ นำไปสู่การตัดสินใจเด็ดขาดในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในอีก 3 เดือนต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2518
ในปลายเดือนมีนาคม 2518 พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายแผน วรรณเมธี ปลัดกระทรวงทำรายงานเสนอนายกรัฐมนตรีว่า สถานการณ์ในอินโดจีนกระทบต่อความมั่นคงของไทยอย่างยิ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติรวม 2 ครั้ง และตัดสินใจเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเร่งด่วนเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง ดังที่นายเกษม ศิริสัมพันธ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้นให้สัมภาษณ์เมื่อ ปี 2548 ย้อนความทรงจำว่า
“เขมรแดงยึดประเทศได้ ก่อนหน้านั้นในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ฝ่ายทหารบอกว่ากัมพูชาไม่แตก แต่ทางกระทรวง ต่างประเทศได้เตือนแล้วว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก และอาจจะมีคนกัมพูชาเข้ามาประเทศไทยจำนวนมาก กระทรวงต่างประเทศจึงเสนอให้กระทรวงมหาดไทยตั้งค่ายรับผู้ลี้ภัยเพื่อไม่ให้มาปะปนกับคนไทยเหมือนสมัยเดียนเบียนฟู ทหารยืนยันบอกว่าไม่แตก พอแตก ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็เรียกประชุมอีกทีว่าแตกแล้ว จะทำยังไง เวลานั้นปัญหามันมีอยู่ที่ว่า ทหารเขมรแดงไล่ตีทหารของลอนนอลเข้ามาทางพรมแดนไทยมากแล้ว และอาจจะตามตีอีก อาจารย์คึกฤทธิ์ก็สั่งปิดชายแดนเพื่อป้องกันทหารลอนนอลตีเข้ามา แล้วท่านก็บ่นบอกว่าทหารเขมรแดงจะตีเข้ามาได้หรือไม่ ท่านถามทางฝ่ายทหารว่ามีกำลังต่อต้านได้สักกี่วัน ผมจำได้ว่าคุณเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์เวลานั้นเป็นเสนาธิการทหารเป็นคนตอบว่า 3 วัน อาจารย์คึกฤทธิ์หันไปมองกับคุณชาติชาย ซึ่งเวลานั้นเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านบอก “ชาติชาย! 3 วันนี่มันยิงปืนเรียกพวกไม่ทันนะ ไม่เอาแล้ว อย่างนั้นเราต้องหาเพื่อนใหม่ดีกว่าพาผมไปปักกิ่งดีกว่า” (ที่มา : เหลียวมอง 1 ก.ค.2518 กับ ดร. เกษม ศิริสัมพันธ์ Manager Online,20 มิถุนายน 2548)
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายความมั่นคงของไทยกลับมีความเห็นแตกต่างออกไป หนึ่งในผู้คัดค้านก็คือพลอากาศโท สิทธิ เศวตศิลา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งยอมรับในภายหลังว่าขณะนั้นยังมองจีนเป็น “ศัตรูหมายเลขหนึ่ง” ที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สอดคล้องกับที่นายอานันท์ ปันยารชุน เล่าในงานสัมมนา ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ ปี 2543 ว่า
วันหนึ่งคุณชาติชายก็เรียกเข้าไปในห้อง บอกว่า “คุณอานันท์…คุณอานันท์ต้องไปปักกิ่งแล้วนะ ไปเจรจาเปิดความสัมพันธ์” ผมก็บอก ว่า “ท่านรัฐมนตรีช้าๆ หน่อย ไม่ใช่ว่าอยากไปปั๊บก็เดินทางได้เลย”ผมก็ถามต่อไปว่า “อันนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลหรือฮะ” คุณชาติชายบอก “เฮ้ย…ไม่ใช่ แต่ท่านนายกฯ คึกฤทธิ์กับผมตกลงกันแล้ว” ดังนั้นผมก็ถามไปว่า แล้วทาง สมช. หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ ว่ายังไง ซึ่งตอนนั้นคุณสิทธิเป็นเลขาธิการ สมช. คุณชาติชายก็แบบ คุณชาติชายนั่นแหละ ท่านหัวเราะก๊าก บอกว่า “ไปถามมัน มันก็บอกให้ศึกษาต่อไปน่ะซี ก็ สมช. มันชอบศึกษาอยู่เรื่อย ไม่ต้องทำอะไร คอยเป็นปีๆ …ไม่ต้องไปถาม”
เริ่มการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
การสังหารบุคคลในระบอบเดิม ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปัญญาชน รวมถึงผู้หญิงค้าบริการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ “ประชาชาติ”ฉบับวันที่ 26 มิถุนายน 2518 ได้รายงานสัมภาษณ์พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์ คือ นายเมา สะรีวงศ์อายุ 55 ปีอดีตผู้ช่วยทูตสถานทูตเขมรประจำไทเป ที่เล่าว่าตนได้เดินทางกลับกรุงพนมเปญก่อนที่เขมรแดงจะเข้ายึดพนมเปญได้เพียงหนึ่งเดือน หลังจากพนมเปญถูกยึดแล้วตนจึงพร้อมด้วยลูกและหลาน 12 คนหนีออกจากพนมเปญเมื่อ 13 เมษายน และมาถึงเมืองไทยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2518
เขายืนยันว่านายลอง โบเร่ต์อดีต นายกรัฐมนตรีเขมรกับเจ้าสิริมาตัก อดีตรักษาการณ์นายกรัฐมนตรี ได้ถูกเขมรแดงประหารชีวิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากทราบว่าใครเป็นข้าราชการ เป็นทหารก็จัดการฆ่าหมด วิธีฆ่าก็ใช้การเรียกตัวมาแล้วก็พาหายตัวไปเลย
ทางด้านนายซาเรตอายุ 31 ปีอดีตช่างแก้นาฬิกาซึ่งอพยพหลบหนีมาด้วย เปิดเผยว่าตนได้ไปขับรถให้เขมรแดงเป็นเวลาหนึ่งเดือนและได้หลบหนีมาตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน เขาเล่าว่าเขมรแดงได้ให้ตนขับรถนำโสเภณีประมาณ 70 คนไปยิงทิ้งที่สนามบินพระตะบอง นอกจากนั้นยังมีการฆ่าพระสงฆ์ในพระตะบองอีกด้วย สมเด็จพระโพธิวังซึ่งเป็นเจ้าคณะแขวงและเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิเวียนซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในพระตะบองก็ถูกฆ่าด้วย นายซาเรตกล่าวว่าตนได้เห็นเขมรแดงจับพันเอกนายแพทย์ตันพ็อกซึ่งเป็นแพทย์พร้อมด้วยพรรคพวกฆ่าตายตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนที่บึงอ่องดอง ทั้งนี้นายทหารและนายพลจะถูกฆ่าหมดสิ้น
ผู้อพยพชาวกัมพูชา หนีภัยสงคราม สู่ประเทศไทย (ภาพ จากห้องสมุดภาพ มติชน)