วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร : ไทยจะรอดในสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 ได้อย่างไร?

ตัดสินใจลาออกจากเส้นทางวิชาการ เข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัวสำหรับ รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร มาดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาชน

จะผ่านพ้นปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่ เป็นช่วงจังหวะที่ดีในการเข้าไปพูดคุยกับนักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ผันตัวเองมาเดินบนถนนการเมือง ถึงฉากทัศน์เศรษฐกิจโลกในปี 2568 โดยเฉพาะ ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประเทศมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯที่ได้ผู้นำคนใหม่คือโดนัล ทรัมป์ ประเมินกันว่ากระทบกับไทยอย่างแน่นอน

ภูมิรัฐศาสตร์โลกยุคสหรัฐฯที่นำโดยทรัมป์ จะก่อให้เกิดวิกฤต (หรือโอกาส?) แค่ไหน ไทยจะมีโอกาสรอดจากความเสี่ยงในปี 2568 ได้อย่างไร ยังคงเป็นคำถามสำคัญ ที่เรานำมาถาม รศ.ดร.วีระยุทธ ให้ช่วยไขคำตอบ

  • เห็นอะไรในนโยบายทรัมป์ 2.0 จะเดินตาม ทรัมป์ 1.0 หรือไม่?

ต่างกับปี 2017 รอบนี้ทรัมป์และพรรครีพับริกันชนะขาด สภาสูงและสภาล่าง ทรัมป์คุมหมด ยังรวมถึงฝ่ายตุลาการที่มีฝ่าย conservative เป็นหลัก เนื่องจากทรัมป์และพรรครีพับริกันมีอำนาจเบ็ดเสร็จมากขึ้น การจะผ่านกฏหมายอะไรผ่านคองเกรสทำได้ง่ายขึ้นกว่าปี 2017 ที่มีการคานอำนาจกันมากกว่านี้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ background เพราะสภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก ไม่เหมือนตอนที่ทรัมป์ขึ้นมาก่อนโควิด ตอนนั้นอเมริกาอยู่ในอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ” เป็นขาลง แต่รอบนี้ทรัมป์มาช่วงเงินเฟ้อเริ่มขยับขึ้นสูง ภูมิรัฐศาสตร์โลกปั่นป่วนกว่าเดิม มันก็เป็นความย้อนแย้งและเป็นความยากของทรัมป์เองว่ามีอำนาจจะทำอะไรมากขึ้น คนก็จะคาดหวังกับคุณมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน บริบทโลกและบริบทประเทศเขาเอง ก็ไม่เอื้อเหมือนสมัยปี 2017

ดังนั้นรอบนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าที่สุดแล้ว ทรัมป์จะเป็นวีรบุรุษ หรือ ปีศาจของชาวอเมริกา เพราะมีอำนาจจะทำได้มากขึ้นกว่าเดิม จากคราวที่แล้วที่ยังมีการคานกัน จากคองเกรสและตุลาการ อยากทำอะไรยังทำได้ไม่เต็มที่ แต่รอบนี้เขาสามารถทำได้เต็มที่ ก็จะวัดฝีมือแล้วว่าเขาจะสามารถทำได้อย่างที่เขาเสนอไหม แต่ต้องย้ำว่าความยากของโจทย์โลกมันยากกว่ารอบที่แล้ว และผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวทรัมป์และพรรครีพับลิกันไม่ได้ตระหนักถึงบริบทที่เปลี่ยนไป มันจะมีความยากอยู่ในสิ่งที่เขาเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องผู้อพยพ เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องการค้า การลงทุน การส่งออก หรือนำเข้า โจทย์มันยากกว่าปี 2017 เยอะ

  • นโยบายกีดกันการค้าจะกระทบกับเศรษฐกิจการเมืองโลกมากแค่ไหน?

ผมคิดว่าประเทศไทยนี่แหละจะได้รับผลกระทบอย่างน้อยๆ 3 เด้ง ถ้าเรามาดูว่าประเทศไทยเกินดุลการค้ากับใคร และไทยขาดดุลการค้ากับใคร 2 อันนี้มาเทียบกัน มันชัดเจนว่าเราได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ คือส่งออกเยอะกว่านำเข้า ประมาณปีละ 1 ล้านล้านบาท ส่วนฝั่งที่เราขาดดุลทางการค้าคือนำเข้าเยอะกว่าส่งออกก็คือจีน ที่ผ่านมาคือ 1 ล้านล้านบาท แต่ปีนี้น่าจะเกิน อาจจะขึ้นไปถึง 1.5 ล้านล้านบาท ดังนั้นเราจึงเกินดุลกับอเมริกาและขาดดุลกับจีนในปริมาณใกล้ๆกัน

แต่ในยุคทรัมป์ 2.0 ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นคือมันอาจจะเป็นลบกับเราทั้งสองด้าน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในทางตรงก็คือสหรัฐฯเขาตั้งธงแล้วว่าจะขึ้นกำแพงภาษีเพราะโดยแนวคิดของทรัมป์ เขาไม่อยากให้สินค้าต่างประเทศไหลทะลักเข้าสหรัฐฯ อยากให้คนสหรัฐฯมีงานทำ โดยไปเบลมว่าเป็นเพราะสินค้านำเข้าโดยเฉพาะจากจีนและประเทศกำลังพัฒนาต่างๆที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาไม่ดี คนไม่มีงาน พอมีวิธีคิดแบบนี้ ข้อเสนอของเขาจึงเป็นเรื่องการขึ้นภาษี

ปัญหาคือไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้ดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ เราจะถูกติดธงแดง เสี่ยงที่จะถูกขึ้นอัตราภาษีค่อนข้างชัดเจน แน่นอนมีประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯระดับสูงอย่างเกาหลีใต้ที่มีโอกาสโดนเยอะกว่าไทย แต่ของไทยก็อยู่ในระดับกลางๆ มีสินค้าสำคัญบางอย่างที่สหรัฐฯเขามองว่าไม่ควรจะนำเข้า ดังนั้นเด้งแรกที่ไทยอาจจะโดนคือเจอกับกำแพงภาษีเข้ามาบล็อก สินค้าไทยที่ส่งออกไปจะแพงขึ้น คนจะซื้อน้อยลง หรือบริษัทอาจจะตัดสินใจลดการผลิต

เด้งต่อมาเป็นเด้งทางอ้อมก็คือจีน เพราะจีนส่งสินค้าออกไปสหรัฐฯเยอะ จีนจะโดนมากกว่าไทย เมื่อเกิดความเสี่ยงขึ้น จีนจึงต้องหาตลาดใหม่ๆ และดังที่ทราบกัน ตั้งแต่หลังโควิดจีนเผชิญสภาวะการผลิจเกิดกำลัง หรือ Over capacity ค่อนข้างสูงในทุกอุตสาหกรรมเลย มีสินค้าค้างสต๊อกรอการระบายอยู่สูงมาก ดังนั้นเมื่อจีนส่งไปไม่ได้ เราซึ่งมี FTA กับจีนอยู่ ก็เป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าจีนไหลทะลักเข้ามายังฝั่งไทยมากขึ้น นั่นแปลว่าการที่ไทยซึ่งขาดดุลการค้าจีนอยู่แล้ว ปี 2568 ก็มีโอกาสที่จะขาดดุลเพิ่มขึ้นอีก

2 เด้งแรกที่กล่าวมา มีโอกาสเกิดสูงมาก สินค้าเราส่งไปอเมริกายากขึ้น แต่สินค้าจีนไปเจอกำแพงภาษีก็ไหลกับมาที่เรา ก็จะส่งผลต่อผู้ผลิต SME ไทยที่ปีนี้ก็สถานการณ์แย่อยู่แล้ว ก็มีโอกาสหนักขึ้นไปอีก

เด้งสุดท้ายที่มีโอกาสเจอก็คือ บริษัทต่างชาติ หรือบริษัทใหญ่ๆเขาตัดสินใจจะลงทุนที่ไหน อย่างไร ยกตัวอย่างมีบริษัทใหม่ๆอย่างลงทุน data center อยากผลิตคอมพิวเตอร์ ถ้าเขาตัดสินใจจะลงทุนในอาเซียน เขาจะชะลอการลงทุน เพราะเขาจะรอดูว่าตกลงแล้วจีนโดนแค่ไหน สหรัฐฯกีดกันการค้าไทยแค่ไหน สหรัฐฯมีความสัมพันธ์หรือโปรประเทศไหนในอาเซียนเป็นพิเศษหรือเปล่า? เขาอาจจะตัดสินใจลงทุนเยอะในประเทศนั้นๆมากกว่า เด้งที่ 3 ก็คือการชะลอตัวการลงทุนในสภาวะที่ไม่แน่นอน ที่ความ uncertainty มันเกิดขึ้น จนกว่าทรัมป์จะขึ้นมาและนโยบายบังคับใช้กลางปีหน้า ช่วงนี้จึงเป็นเหมือนเกิดสูญญากาศที่บริษัทต่างๆที่วางแผนจะลงทุนอยู่เปิดไลน์การผลิตใหม่ จะชะลอการตัดสินใจ ตรงนี้เองที่มีผลกับเรา

ทั้งนี้ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกเยอะ จีดีพีของเรา 60% พึ่งพาการส่งออก และเมื่อเราส่งออกไปได้น้อยลง แถมเผชิญการนำเข้ามากขึ้น ยังเจอภาวะความไม่แน่นอนในการลงทุนของบริษัทใหญ่ๆ นี่คือ 3 เด้งที่จะส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจไทย ถ้าเราไม่ทำอะไร

  • เราพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ มากแค่ไหน

ประเทศไทยประมาณ 10 ปีก่อนนี้เราเกินดุลมาตลอด แต่ช่วงหลังเราเริ่มขาดดุลมากขึ้น จีนยังเป็นปัจจัยหลัก แต่ส่วนที่ทำให้เราไม่ขาดดุลเยอะเกินไปก็คือสหรัฐฯ เพราะเรายังส่งออกไปเกินดุลสหรัฐฯปีละ 1 ล้านล้าน อย่างน้อยมันมาชดเชยส่วนที่เราขาดดุล หรือมาทำให้เราไม่ขาดดุลการค้ารุนแรงมากเกินไป ดังนั้น ถ้าขานี้ที่เราเคยได้ดุลจากโลก หรือจากสหรัฐฯ ซึ่งหากเราเผชิญตรงนี้ (ขึ้นกำแพงภาษี) ผมคิดว่ามันจะส่งผลต่อดุลการค้าของเรา และเมื่อผนวกกับฝั่งจีน มันเหมือนผนวกเป็นปัญหา 2 เด้ง ที่เกิดขึ้นกับเรา มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับการส่งออก และต่อจีดีพีโดยรวม ทำให้การคาดการณ์หลายสำนักก็ปรับลดลงอาจจะเลือก 2% หรือ 2% กว่าๆ ในปีหน้า จากที่เคยคิดถึงเลข 2 ปลายๆ เช่น 2.7% หรือบางสำนักก็ให้ใกล้ 3% ประเมินกันว่าพอส่งออกมันเป็นแบบนี้มันก็เด้งกลับมาที่จีดีพีของเรา กลับมาเป็น 2% กว่าๆ

  • มีคนบอก ถ้าทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีกับจีน ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดี โรงงานจากจีนไหลมาไทย?

ที่วิเคราะห์มาทั้งหมดก็คือเป็นเหตุการณ์ถ้าไทยไม่ทำอะไรเลยมันจะเป็นอย่างนั้น ดังนั้น ถ้านโยบายสหรัฐฯเป็นทรัมป์ 2.0 รัฐบาลคุณแพทองธารก็จำเป็นต้องปรับเป็นแพทองธาร 2.0 เหมือนกัน หมายความว่าต้องประเมินตรงนี้แล้วมีนโยบายเชิงรุก เพราะกรณีบริษัทกำลังประเมินการลงทุนว่าจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ ที่ไหน ดังนั้นต่อให้เขาย้ายมาลงทุนในไทย เขาก็ต้องคิดต่ออยู่ดีว่ามาไทยก็ต้องเจอกำแพงภาษี แม้จะน้อยกว่าจีนก็ตาม ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการการันตีว่าเขาจะมาลงทุนไทย ทำไมไม่เป็นอินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม การแข่งขันตรงนี้อาจจะเข้มข้น เพราะการที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เกินดุลสหรัฐฯค่อนข้างเยอะ โอกาสที่จะโดนกำแพงภาษีจากทรัมป์มีโอกาสสูงกว่าหลายชาติในอาเซียนที่ยังไม่ได้ขาดดุลเท่านี้ ดังนั้นประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มที่ถ้าไม่ทำอะไรเชิงรุก จะไม่ค่อยได้ประโยชน์

  • สินค้าจีนจะเข้ามาตีตลาดสินค้าไทยเพิ่ม จากที่เยอะอยู่แล้วจริงหรือ?

คือมันจะคืบคลานเข้าไปสู่สินค้าในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดผมไปอุดรธานีมา ช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมาเขาโดนกระทบรุนแรงเรื่องผัก ผลไม้ และดอกไม้ ยกตัวอย่างดอกไม้ อุดรฯได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ผลิตดอกเบญจมาศหลายสี หลายพันธู์ ส่งมาปากคลองตลาดแล้วก็ส่งไปทั่วประเทศ ปัจจุบันกำลังเผชิญวิกฤตดอกเบญจมาศจากจีนเข้ามาทดแทน แปลว่าที่เราใช้กันตอนนี้มันเริ่มไม่รู้แล้ว อย่างสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เราซื้อหูฟัง เราซื้อที่ชาร์จแบตฯ เรายังรู้ว่ามัน made in china แต่ในอนาคตมันจะคืบคลานไปสู่สินค้าที่ไม่มียี่ห้อมากขึ้น ผมคิดว่าดอกไม้ที่อุดรธานีเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วเขาก็อยากให้รัฐบาลหรือหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามาดูนะ เพราะทำอย่างนี้มันมีผลกระทบต่อคนปลูกดอกเบญจมาศซึ่งเคยเป็นฐานหลักฐานหนึ่งของเศรษฐกิจอุดรธานี

จากที่เป็นเรื่อง SME หรืออยู่ในกรุงเทพฯ หรือเขตอุตสาหกรรมฯ มันจะคืบคลานเข้าไปภาคเกษตรกรรมมากขึ้น ต้องบอกว่ามันยังมีอีกหลายพื้นที่ที่สินค้าจีนจะคืบคลานเข้ามาทดแทนภาคการผลิตในไทยได้

 

  • จนถึงวันนี้ คิดว่าไทยมีโอกาสจะโดนตอบโต้เพราะได้ดุลการค้าสหรัฐฯหรือไม่?

มีโอกาสสูงครับ สหรัฐฯเขาจะกำหนดมา 5 ระดับ ดูจากรายชื่อประเทศที่เขาขาดดุล แล้วก็ดูประเภทของสินค้า ไทยเราจัดอยู่ในระดับประมาณระดับ 3 เกาหลีใต้คือระดับสูงสุดอยู่ระดับที่ 5 ที่มีโอกาสจะโดนรุนแรง ดังนั้นไทยอาจจะโดนแต่โดนระดับปานกลาง แต่แค่ระดับปานกลางก็มีผลต่อราคาสินค้าอยู่ดี เพราะเราส่งไปเราก็แข่งด้วยราคา แค่ขึ้นมา 20-30% มันก็เสี่ยงที่จะขายได้น้อยลง ผู้ผลิตก็จะตัดสินใจลดการผลิตไปโดยปริยายเพราะรู้ว่าการแข่งขันในตลาดส่งออกมันยากขึ้น

  • เทียบกับคู่แข่งของไทยในอาเซียนอย่าง เวียดนาม อินโดฯ มาเลเซีย?

ตอนนี้ผมคิดว่าแต่ละประเทศพยายามเตรียมเจรจาเชิงรุกกับสหรัฐฯ เพราะลักษณะของทรัมป์อย่างหนึ่งคือทรัมป์พร้อมเจรจาแบบทวิภาคี ทรัมป์ไม่ชอบการเจรจาแบบเวทีหลายประเทศ ถ้าเราอ่านลักษณะตรงนี้ออก แล้วผมคิดว่าประเทศอื่นเขารุกกันแล้ว มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เขารุกกันแล้ว เขารุกแบบเงียบๆแล้ว เพราะตอนนี้ทรัมป์ยังไม่รับตำแหน่ง ซึ่งเขาจะรับตำแหน่งเดือนมกราคม แล้วกว่านโยบายจะผ่านคองเกรสมันยังมีเวลาผมคิดว่าประมาณ 6 เดือนให้คุณ “รุก” แล้วผมเชื่อว่าประเทศต่างๆในอาเซียน “รุก” กันแล้ว เมื่อเราจับลักษณะว่าเขามีการทำการค้าแบบนี้ เราก็ต้องไปเจรจาทวิภาคีกับเขาให้ได้ จะนอกรอบหรือในรอบก็ได้ แต่ต้องเจรจา ต้องคุยกันเลยว่าสินค้าอะไรที่จะเอามาแลกเปลี่ยนกัน

  • ถ้าทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีไทยจริง ภาพความเสียหายหนักสุดมันจะเป็นอย่างไร

แบบเลวร้ายที่สุดก็คือโรงงานที่จะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ลดการผลิตสินค้าในไทย นั่นหมายความว่ามันจะลดการจ้างงานลงไปด้วย ซึ่งต้องไปดูสินค้าต่างๆ อย่างยางก็อยู่ในสินค้าระดับท็อปที่เราส่งออกไป เครื่องจักรกลก็มีผล แล้วก็พวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พวกฮาร์สดิส ไดฟ์ ก็มีผล พวกนี้คือตัวที่จ้างงานเยอะ ดังนั้นมันจะส่งผลเป็นลูกโซ่ ส่งออกอาจดูตัวเลขเป็นนามธรรม แต่มันจะส่งผลต่อมาที่จีดีพี จากนั้นจีดีพีก็จะเริ่มมีผลต่อรัฐบาล เพราะประชาชนเขาคาดหวังการเติบโต แต่มันยังไม่พอ มันจะถอยกลับมาที่แรงงานอีกทีหนึ่ง อย่าลืมว่าปีนี่เราปั่นป่วนเรื่องยานยนต์แล้ว ซัพพลายเชนยานยนต์ที่จ้างงาน 6-7 แสนคนปั่นป่วนแล้ว มีโอกาสจะตกงานกันเยอะ ปีหน้าถ้าเผชิญแบบนี้อีกทั้งในอิเลกทรอนิกส์ ในยาง หรือในเครื่องจักรกล ซึ่งมันจ้างงานเยอะ มันก็มีโอกาสกระทบชิ่งกลับไปที่แรงงาน

แล้วยังบวกกับปัญหาเดิมที่เรามีคือหนี้ครัวเรือน ถ้าสังเกตตัวเลขจีดีพีล่าสุดอาจจะดูเหมือนดีโต 3% แต่มันก็มีปัญหาที่รายงานของสภาพัฒน์เองก็ชี้เอาไว้ เช่นคนยังเป็นหนี้อยู่เยอะ สินค้าที่เอาไปต่อยอดธุรกิจอย่างรถกระบะ ไฟแนนซ์ก็ไม่ปล่อยสินเชื่อ ยอดขายก็ตก มันส่งผลวนเป็นลูปกัน พูดอีกอย่างก็คือ ถ้ามองแบบเลวร้ายที่สุด กำแพงภาษี จะมามีผลต่อหนี้ครัวเรือนได้เลย เพราะคุณอาจจะตกงาน โอกาสที่คุณจะชำระหนี้ได้ กลับมาไม่เป็นหนี้ มันก็ถูกลดทอนโอกาสลงเพราะงาน จะโดนบีบจากยอดการส่งออก จากบริษัทที่มีการตัดสินใจใหม่ มันกระทบชิ่งกันเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องแบบนี้

  • สมมุติว่าตอนนี้ อ.กำลังนั่งกินแมคโดนัลอยู่กับโดนัล ทรัมป์ 2 คน อ.จะคุยอะไรกับเขาให้ไทยได้ประโยชน์?

ไอเดียของผมคือ จริงๆตอนนี้เราอาจกระตุ้นบริษัทไทย ไปลงทุนในอเมริกาได้ด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องการการลงทุนและการจ้างงาน เราไม่จำเป็นต้องไปบริษัทใหญ่ อะไรที่เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของเขา เพราะมันจะมีบริษัทของอเมริกา บริษัทของตะวันตก ที่ไปลงทุนอยู่ในที่ต่างๆโดยเฉพาะในจีน โดนกระตุ้นให้ต้องย้ายกลับ คือผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องคิดในกรอบการลงทุนในประเทศไทยอย่างเดียว ถ้าเราสามารถลงทุนและเราส่งวิศวกรไทยไปร่วมด้วยได้ ไปเป็นส่วนหนึ่งของเขาได้ คือเกาะเกี่ยวกับกระแสที่ทรัมป์จะปรับนโยบายไปด้วยเลย เราก็มีโอกาสที่จะได้ประโยชน์

อย่าง Apple ลงทุนอยู่ในจีนเยอะใช่ไหม รวมถึงบริษัทซัพพลายเชนต่างๆของเขา เขาก็ยังลังเลนะเพราะมันไม่ใช่ทำกันง่ายๆ แต่ถ้าเราตั้งธงว่าเราขอเริ่มสตาร์ทที่ 1 ที่จะดึงซัพพลายเชนของ Apple มาอยู่ที่ไทย ผมคิดว่าเราก็สามารถเริ่มทำได้ เพราะ Apple เขาก็ลังเลแล้วว่าจะเก็บฐานการผลิตและเครือข่าย เช่น ฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งตั้งมายาวนานหลายสิบปีจนมีความสามารถมาก ตอนนี้เขาก็ลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ ยังตัดสินใจไม่ถูกเพราะมันต้องย้ายทั้งซัพพลายเชน ตรงนี้คือตัวอย่างถ้าเรามีบทบาทเชิงรุก นับหนึ่งไปดึงเขามาผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในอนาคต คือในความปั่นป่วนมันมีโอกาสเพียงแต่ว่ารอบนี้ต้องรุกมากกว่าเดิม รอบที่แล้วตอนทรัมป์ 1.0 ตอนมีสงครามการค้าคนที่ได้ประโยชน์คือเวียดนาม ไต้หวัน และมาเลเซีย ไทยก็ไม่ค่อยได้ ฉะนั้นรอบนี้เราต้องคิดใหม่ ต้องเป็น 2.0 เหมือนกัน แล้วก็ทำบทบาทเชิงรุกตรงนี้มากขึ้นกว่าเดิม คืออยู่เฉยๆไม่ได้เลย รอบนี้อยู่เฉยๆจะมีแต่ลบ แบบ 3 เด้งที่บอกก็คือลบหมดเลย แต่ถ้าคุณสู้กับคุณยังมีโอกาสที่จะดึงบางด้านให้เป็นบวกแต่มันจะไม่เห็นผลในระยะสั้นนะ การลงทุนมันต้องมีการเจรจาต่อรอง มันต้องตั้งโรงงาน ต้องเป็นซัพพลายเชน แต่ถ้าไม่เริ่มก็จะเสียโอกาสนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง

  • อาจารย์หมายถึงเราจะขอเกาะนโยบายไปกับคุณ จะขอเอาบริษัทไปลงทุนในสหรัฐด้วยแบบนี้หรือ?

วันนี้ boi สนับสนุนการลงทุนเวเฟอร์แฟบใช่ไหม เรามีโรงงานทำชิปซิลิคอนคาร์ไบด์กำลังจะเกิดที่ลำพูนแล้ว ได้เงินลงทุนแล้ว เวเฟอร์แฟบมันคือการทำชิปซึ่งเป็นการรับจ้างทำ มันต้องหาลูกค้าอีกทอดหนึ่งว่าลูกค้าของคุณจะเป็นใคร จะเป็นเครื่องทำกาแฟเหรอ หรือจะเป็นรถ EV ตอนนี้ เวเฟอร์แฟบ ที่ได้ boi แล้ว และลงทุนในไทย เขากำลังหาลูกค้าอยู่ บทบาทของรัฐบาลควรทำงานเชิงรุกว่าสามารถเชื่อมต่อได้ไหม ทำอย่างไรให้บริษัทชิปซิลิคอนคาร์ไบด์ของไทย สามารถไปเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain อเมริกาได้มากกว่านี้ ตอนนี้เท่าที่คุยผ่านกรรมาธิการก็ยังเห็นว่า ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่เราจะขยับ เรากำลังจะมีโรงงาน เรากำลังจะสร้าง supply ดังนั้นเราต้องหา demand ให้เขา

  • ถ้าปีหน้าทำจบสงครามใหญ่ๆได้จริงตามที่หาเสียง ฉากทัศน์เศรษฐกิจโลกปีหน้าจะดีขึ้นไหม

มันมีโอกาสจะจบถ้าพูดแบบศัพท์เทคนิคหน่อยก็คือ passive aggressive หมายความว่า เขาอาจจะไม่ยิงกันโดยตรงแต่โอกาสที่จะสะสมนิวเคลียร์ หรือสะสมอาวุธมันเยอะขึ้น เพื่อแสดงว่ามีสรรพกำลัง ดังนั้นมันอาจจะจบแบบคุณไม่ได้เห็นฉากหน้าที่รบกัน หรือรบกันน้อยลง แต่โอกาสที่จะสะสมคลังอาวุธมีโอกาสสูงขึ้น ในเวทีโลกเขามองกันแบบนี้ ว่ามันจะเป็น passive แต่ไม่ได้หยุดยั้งการสะสมกำลังทางทหาร ภาพรวมเศรษฐกิจโลกอาจจะเรียกว่ามีความ stable มากขึ้นกว่าเดิม ยุโรปที่มีปัญหาพลังงานปั่นป่วนมีผลกระทบหนักหนาสาหัส ก็เป็นผลมาจากสงครามรัสเซียยูเครน ดังนั้นการที่อย่างน้อยไม่มีสงครามในฉากหน้า ผมคิดว่ามันก็ทำให้เศรษฐกิจโลก stable ขึ้น ระดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะมีความ aggressive ซ่อนอยู่ นี่ก็สะท้อนคาแรคเตอร์ของนโยบายการต่างประเทศของทรัมป์อยู่เหมือนกัน

  • ฉากทัศน์ทางเศรษฐกิจของไทย ปีหน้าจะเป็นยังไง?

ปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์เราปั่นป่วนค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะยานยนต์ ICE หรือยานยนต์สันดาป แต่ปีหน้ามีโอกาสที่จะไปปั่นป่วนฝั่ง EV เพราะรถ EV ที่เราซื้อๆกันมา มันได้รับเงินอุดหนุนจากกรมสรรพสามิต จากนโยบาย EV 3.0 EV 3.5 ตอนนั้นสูงสุดได้รับคันละ 150,000 บาท แต่เขาอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องผลิตชดเชย 1 ต่อ 1 แล้วถ้าผลิตช้าอัตราส่วนมันก็จะเพิ่มขึ้น 1 ต่อ 1.5 อะไรแบบนี้ ปี 2568 จะเริ่มมีการผลิตชดเชยรถ EV คือบริษัทที่ได้รับเงินอุดหนุนไปเขามีเงื่อนไข ว่าต้องตั้งโรงงานในไทยและผลิตชดเชย ดังนั้นก็ต้องตั้งคำถามว่า demand ตลาดรถอีวีในประเทศมันจะโตตามสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ไหม ผมคิดว่ามีความเสี่ยงสูง ที่ demand ของเราจะหดตัว หรือไม่ได้สูงเท่าที่ผ่านมาใน 2-3 ปี

แน่นอนรถยนต์สันดาปก็จะปั่นป่วนต่อและมีผลต่อตลาดแรงงาน และจริงๆเรื่องนี้เป็นนโยบายที่รัฐจะต้องทำเชิงรุก เช่นคุณควรจะสนับสนุนการเป็นฐาน Hybrid ให้ชัดเจนมากขึ้นไหม เพราะอย่าลืมว่าแรงงานตรงนี้มีโอกาสที่จะลดลงและถดถอยไปเรื่อยๆ อีวีก็มีโอกาสที่จะปั่นป่วนในปีหน้า เพราะเป้าหมายเดิม boi ตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราจะเป็นตลาดส่งออก หวังว่าเราจะผลิตเยอะๆและเป็นตลาดส่งไปขายต่างประเทศ ตอนนี้ไปดูสิ อเมริกาก็เข้าไม่ได้ รถ EV จีนเองก็มี จะไปยุโรปก็ตั้งกำแพง อินโดนีเซียก็ผลิตรถเอง ถามคือคุณจะไปแข่งตลาดส่งออก ผมคิดว่าโอกาสในการแข่งขัน EV ในตลาดส่งออก ไม่ค่อยสดใสแล้ว โอกาสที่จะตัดราคากันหรือมีความปั่นป่วนตลาดภายใน จึงมีสูง อันนี้คือผลสืบเนื่อง

แต่ถ้าถามว่าทำยังไง ผมคิดว่าอยากให้ทางแก้มันลงไปในระดับพื้นที่มากขึ้น ผมเพิ่งคุยกับผู้ประกอบการที่สมุทรสาครมา ที่นี่เดิมเขาก็มีโรงงานระดับที่ 2 เทีย 3 ผลิตอะไหล่ ผลิตเบาะ ผลิตพวงมาลัย อะไรๆให้กับรถยนต์สันดาปเดิม ตอนนี้กลุ่มธุรกิจเองเขาก็ประเมินโอกาส ที่ตลาดมันจะถดถอย มันยากที่จะกลับมาเหมือนเดิม เขาก็มองกันว่าทางรอดของเขาก็คือการไปอุตสาหกรรมต่อเรือขนาดเล็ก หมายความว่าเขาไม่ได้ต้องการต่อเรือใหญ่แข่งกับเกาหลี ญี่ปุ่น แต่ว่ามันยังมีตลาดเรือขนาดเล็กที่อินเดียหรือบังคลาเทศต้องการอยู่ แล้วสมุทรสาครซึ่งมีฐานที่เป็น supply chain อะไหล่ยานยนต์เดิมอยู่แล้ว และอยู่กับอุตสาหกรรมเรือ อุตสาหกรรมอาหารทะเลมายาวนาน ดังนั้นมันก็มีองค์ความรู้และผู้ประกอบการเชื่อมโยงกันอยู่ อันนี้ฝั่งผู้ประกอบการเขาเสนอเองเลยว่าอยากจะขยับไปเป็นการต่อเรือขนาดเล็กหรือขนาดกลาง จากที่เคยทำยานยนต์สันดาป อันนี้ผมคิดว่ารัฐสามารถเข้าไปช่วยทำหรือสนับสนุน ในระดับพื้นที่ได้มากขึ้น

หมายความว่าอุตสาหกรรมมันไม่สามารถ Shift ไปได้เลย จากทำให้ยานยนต์สันดาปแล้วเปลี่ยนไปให้เรือ มันยังมีองค์ความรู้หลายอย่างที่ต้องการการสนับสนุน หรือเอาองค์ความรู้จากต่างประเทศที่มีการทำเรือใหญ่เข้ามาช่วยเขา คือเขาเห็นโอกาสความเป็นไปได้ แต่มันต้องมีการ reskill ระดับหนึ่ง ต้องมีความรู้เชิงเทคนิคระดับหนึ่ง คือมันมีพื้นที่ มีศักยภาพ แต่ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากส่วนกลางเข้าไปโอกาสที่จะเกิดก็ยาก ผมคิดว่ารัฐบาลสามารถเข้าไปฟังในระดับพื้นที่หรือระดับจังหวัดมากขึ้น ว่าแต่จังหวัดมีสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง แต่ละจังหวัดเขาจะรู้ว่าโอกาสในการปรับตัวพอจะเป็นไปได้ในทิศทางไหนหรือยังไง แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการช่วยเหลือจากส่วนกลางเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านมันราบรื่นมากขึ้น อุตสาหกรรมยานยนต์เราไม่ได้คิดถึงการเป็นผ่านแบบราบรื่นมันเลยปั่นป่วนแบบนี้ ผมคิดว่าแล้วเราก็มองภาพใหญ่มากเกินไป ผมคิดว่าโจทย์ในอนาคตเราต้องกลับมามองภาพเล็กระดับพื้นที่จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดมากขึ้น

อย่างสมุทรสาครน่าสนใจนะ เขารู้ว่าอุตสาหกรรมเขาเผชิญข้อจำกัดที่มีการแข่งขันสูง ขานึงเขาบอกว่าจากยานยนต์เดิมอยากย้ายไปที่อุตสาหกรรมต่อเนื่องขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกขานึงเขามีสิ่งที่เรียกว่า Food waste หรือของเสียที่เกิดจากอาหารทะเลหรืออาหารอื่นๆอีกเยอะ ถ้ามีการปรับระบบตรงนี้ให้ดี มันก็สามารถเอาไปทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย หรืออื่นๆได้ เช่นเดียวกันครับมันต้องการการสนับสนุนและไอเดียจากส่วนกลางที่ลงไปช่วย ดังนั้นผมคิดว่าแต่ละจังหวัดเขามีไอเดียอยู่พอสมควร โดยเฉพาะจังหวัดที่กลุ่มเหล่านี้ค่อนข้างเข้มแข็ง ผมคิดว่ารัฐบาลควรถือโอกาสนี้ลงไปพูดคุย

คืออ่านโจทย์ใหญ่ให้ออกว่าทรัมป์ต้องการเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์โลกอะไรประมาณนี้ แต่ตอนที่เราตัดสินใจเราไม่ควรคิดจากส่วนกลางล้วนๆ เราควรจะลงไประดับพื้นที่ อย่างอุดรธานีที่ยกตัวอย่างให้ฟัง เขาก็เผชิญดอกไม้จีนเข้ามาตีตลาด ถ้าคุณไม่อุดรูรั่วตรงนี้เขาก็ไปต่อยาก ฝั่งสมุทรสาครเขาก็มีไอเดียเสนออยู่แต่ก็ต้องการการช่วยเหลือเช่นเดียวกัน ดังนั้นทางออกมันไม่ใช่การฝันใหญ่ไอเดียระดับชาติแบบ 4.0 ผมคิดว่าไม่ตอบโจทย์ สิ่งที่ควรจะทำคือการลงไประดับพื้นที่เลย ว่าเขาเผชิญปัญหาอะไรอยู่และเขามีไอเดีย ทางออกของเขาอย่างไร

รอบนี้วิกฤตมันจะไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใดแบบต้มยำกุ้ง แต่อย่างที่ทุกคนเห็นวิกฤตมันสะท้อนผ่านหนี้ครัวเรือน ถ้าเราสนใจมันตั้งแต่ตอนมันมีสัดส่วน 60% ต่อ GDP เราอาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ก็โอเคเพราะเราเจอโควิด และเราอาจจะระมัดระวังไม่พอ พอมันขึ้นมาระดับ 80 ถึง 90 การจัดการมันก็ยากขึ้น เรื่องการตกงานหรือการถูกดิสรัปทางอุตสาหกรรมก็เหมือนกันครับ ถ้าทำตั้งแต่ตอนนี้เนิ่นๆมันยังพอเยียวยากันได้ เราไม่เห็นไงมันเป็นวิกฤตที่เหมือนมันค่อยๆเกิดขึ้น มันไม่ได้ปะทุทีเดียวระเบิดใหญ่ แต่ถ้าไม่ทำอะไรสุดท้ายมันก็ยิ่งแก้ยากกว่าเดิม

  • Detroit แห่งเอเชียตอนนี้มันน่าห่วงขนาดไหน ?

ถ้าไปดูเมือง Detroit ตอนนี้มันเป็นเมืองที่ไม่มีใครอยากอยู่แล้ว คือ Detroit มันเป็นภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปที่ขึ้นแล้วก็ลง คือเคยขึ้นจนพีค แล้วตอนนี้ก็ต้องเรียกว่าซากปลักหักพังของโรงงานที่เลิกจ้าง นี่คือเหตุผลที่คนเชียร์ทรัมป์เขาบอกว่าทำไมจึงถูก disrupt หรือการจ้างงานมันหายไป แต่มันก็เป็นธรรมชาติของอุตสาหกรรม โรงงานก็ไปแสวงหาต้นทุนการผลิตที่มันถูกกว่า ดังนั้นในความทรงจำของโลกปัจจุบันที่มอง Detroit คือมันขึ้นและลงไปแล้ว ดังนั้นถ้าบอกว่าอยากเป็นแบบ Detroit ก็อันตราย เพราะตอนนี้เขากำลังฟื้นฟูกันอยู่ แก้ปัญหาเก่ายังไม่ตก

ผมคิดว่าสำหรับเมืองไทยถ้าพูดในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า ไทยควรยืนยันการเป็นฐานการผลิตของ Hybrid ให้มากขึ้น ถ้าจับเทรนตลาดนะครับตอนนี้ค่ายรถยนต์ EV ที่มีความสามารถในการทำ Hybrid เขาเลือกกลับมาทำHybrid แต่จะทำได้แค่ค่าย EV บางค่าย ต้องเป็น EV ที่เคยทำสันดาปมาก่อน ถึงจะมีความสามารถในการทำ Hybrid และที่สำคัญคือเขาอ่านตลาดออก ปีนี้กับต้นปีหน้าค่ายใหญ่ๆที่อยู่ในไทย เขาตัดสินใจออกโมเดลรถไฮบริด แล้วขายดีด้วย เพราะว่าตลาดไทยตอนนี้มันกระโดดกลับมาว่าขอกระจายความเสี่ยง ยังไม่กล้าไปไฟฟ้าเต็มตัว ข้อเสนอของผมนะ รัฐบาลไม่ควรฟันธงทางเทคโนโลยี บอร์ด EV ของเราในอดีต ตอนนั้นเราเชื่อว่า EV แบบ 100% จะมา ดังนั้นการสนับสนุนมันค่อนข้างจะเทไปทาง BEV แต่ตั้งแต่หลังโควิดมาจนสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างชัดเจนว่าเทคโนโลยีมันไม่นิ่ง ไฮโดรเจนก็ยังเป็นไปได้ โดยเฉพาะในรถยนต์ขนส่ง ไฮบริดของทางฝั่งญี่ปุ่นก็พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ ประหยัดน้ำมันมากขึ้นเรื่อยๆ จากเคยกินน้ำมันสิบกว่ากิโลลิตร ตอนนี้ได้เห็นการกินน้ำมันเกินยี่สิบกว่ากิโลลิตรแล้ว ดังนั้นญี่ปุ่นเขาก็มองว่าไฮบริดของเขาก็ยังไม่ถึงจุดพีค แต่หน้าหน้าที่ของรัฐไม่ต้องไปฟันธง หน้าที่ของรัฐคือดูว่ามันช่วยลดการปล่อยคาร์บอนแค่ไหน แล้วคุณก็สนับสนุนเป็นขั้นบันไดตามนั้น ไม่ต้องเลือกเฉพาะเจาะจงแค่ BEV แต่ดูที่ระดับเลย มันมีวิธีประเมินอยู่ว่า รถยนต์คันหนึ่งตั้งแต่การผลิตต้นทางว่ากระบวนการใช้พลังงานสะอาดแค่ไหน ไปจนถึงการปล่อยคาร์บอนระหว่างรถวิ่งบนท้องถนน ปล่อยลดลงมากแค่ไหนก็ช่วยแค่นั้น มันมีวิธีคิดนี้อยู่ครับ รัฐไม่ต้องฟันธงเทคโนโลยี ให้เอกชนแข่งกันไปเลย แต่ขอให้คุณลดคาร์บอนให้มากที่สุด ที่ผ่านมาเราค่อนข้างฟันธงเทคโนโลยีไป

  • เราแทงหวยกับรถ BEV สูงไป?

สูงไปหน่อย แต่ก็ต้องบอก เราประเมิน ณ เวลานั้น แต่หลังโควิดดทุกประเทศปรับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมกันหมด ดังนั้นเราก็ควรจะปรับเหมือนกัน

  • ความพยายามจะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเอสเอ็มอีของรัฐบาล

ผมว่าอันนี้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม อย่างน้อยรัฐบาลพยายามคุยกับสมาคมธนาคารไทย พยายามคุยกับธนาคารพาณิชย์ว่ามีวิธีการอย่างไร กรณีการชี้ของของ ดร.เผ่าภูมิ รมช.คลัง ก็ถือเป็นก้าวเริ่มต้นที่ค่อนข้างดี ที่มีการวางกรอบชัดเจน 2 ล้านบัญชี มูลหนี้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถ้าเข้าข่ายเงื่อนไขก็ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่ต้องผ่อนเป็นขั้นบันได เริ่มที่ 50% ในปีแรก แล้วก็เพิ่มเป็น 70-90 ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะได้รับการลดดอกเบี้ย รัฐเข้ามาช่วยโดยยอมลดเงินที่ธนาคารพาณิชย์ที่เคยเป็นหนี้ FIDF จะส่งให้คลัง โดยให้มาช่วยภาระเรื่องหนี้ครัวเรือน ผมคิดว่าตรงนี้เป็นก้าวเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องมาดูกันต่อว่าสามารถทำให้ลูกหนี้ที่เป็นหนี้อยู่ เข้าโครงการนี้แล้วประสบความสำเร็จผ่านเงื่อนไขได้แค่ไหน แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเงื่อนไขที่ดี ผมคิดว่ารัฐบาลเห็นโจทย์ว่าถ้าไม่ช่วยเรื่องหนี้ครัวเรือน มันไปต่อกันยาก

แต่ต้องย้ำว่ามันเป็นก้าวแรกที่ดี แต่ยังไม่พอ มันต้องทำด้านอื่นอีก คือสุดท้ายต้องไม่ลืมว่าคนจะมีเงินมาจ่ายหนี้เขาก็ต้องมีงานถึงจะมีเงิน เพราะคนที่จะเข้าร่วมโครงการนี้จะต้องมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้มาระยะหนึ่ง ก็แปลว่าตัวเขาเองหรือธุรกิจของเขาเองลดศักยภาพในการผ่อนจ่ายหนี้แล้ว ดังนั้น โจทย์ใหญ่กว่าที่มาคู่กันก็คือ แล้วเขาจะได้เงินมาจากไหน คือต่อให้คนเป็นหนี้ผ่อนจ่ายไม่ไหว ต่อให้ลดการผ่อนจ่ายมา 50% ก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะมีกำลังจ่าย ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคู่กันไปคือ แหล่งงาน ตลาด ธุรกิจเขา จะไปต่อได้ไหม อันนี้ก็ยังรอมาตรการอยู่ว่าจะมาเสริมยังไง ขานี้ขาเดียวไม่พอ แต่ยอมรับว่าเป็นก้าวแรกที่ดี

  • ท็อปคอมเมนต์ข่าวแก้หนี้ของรัฐบาลคือ แล้วคนที่ตั้งใจชำระหนี้ตรงเวลามาตลอด ไม่คิดช่วยหรือ?

อันนี้ผมดีเฟนแทนรัฐบาล เข้าใจว่าคุณเผ่าภูมิก็พูดไว้แล้วว่า ถ้าคุณชำระดี คุณก็จะได้เครดิตที่ดี คุณไม่ติดบูโร คุณมีประวัติที่ดีกับธนาคาร ดังนั้นคุณสามารถกู้ยืมหรือทำธุรกรรมในอนาคตได้ด้วยดอกเบี้ยต้นทุนที่มันต่ำลงอยู่แล้วกว่าคนกลุ่มนี้

  • หนี้ครัวเรือนดูเหมือนสัญญานดีขึ้นจากตัวเลขที่เริ่มลดลงกว่าเดือนก่อน

มันดีขึ้นเพราะแบบนี้ครับ เพราะธนาคารปล่อยน้อยลง แล้วมันเป็นหนี้ต่อจีดีพี ดังนั้นพอจีดีพีมันไม่ค่อยสูง เมื่อธนาคารระมัดระวังในการปล่อย ตัวเลขหนี้ครัวเรือนมันเลยลดลง ตอนนี้มันไม่ได้ลดลงโดยความสามารถในการจ่ายหนี้หรือเศรษฐกิจโต มันไม่ใช่ มันลดเพราะตัวหารลด หรือตัวปล่อยลด ไม่ใช่คนมีกำลังในการจ่ายหนี้มากขึ้น แต่คือธนาคารระมัดระวังมากขึ้น มันมีตัวเลขอยู่ในรายงานของสภาพัฒน์ เป็นเพราะธนาคารเขาระมัดระวัง สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อมันเลยลดลง

  • สมมติวันนี้ อ.เป็นรัฐบาล วันนี้จะเลือกใช้เครื่องยนต์เศรษฐกิจใด มาขับเคลื่อนประเทศไทย

ผมอยากทำเครื่องยนต์ระดับจังหวัด คือตอนนี้เครื่องยนต์ระดับประเทศ มันเผชิญการแข่งขันสูง แล้วบางทีมันอาจไม่ได้ลงมาถึงชีวิตคนในระดับพื้นที่ ถ้าได้เป็นรัฐบาล เราอยากจะดูโรดแมประดับ กลุ่มจังหวัด หรือจังหวัดเลย อยากเข้าไปคุยกับสภาเกษตรกร สภาอุตสาหกรรมจังหวัดแต่ละพื้นที่เลย ว่าเขาประเมินอย่างไร และเห็นทางรอดอย่างไร จึงจะมาตัดสินใจต่อว่ามีโอกาสไปรอดแค่ไหน ที่สมุทรสาครเป็นตัวอย่างที่ดีว่าเขามีไอเดียของเขาอยู่ เขารู้ว่ามันเผชิญภาวะวิกฤตแล้ว การไปต่อในอุตสาหกรรมยานยนต์ของเขาเอง เขาก็รู้ว่ามันยาก แล้วเขาก็มีข้อเสนอ แต่ถ้าไม่มีส่วนกลางเข้าไปช่วย มันก็ยากที่เขาจะขับเคลื่อนต่อ เขาก็อาจจะปลดคนงาน เพราะอย่าลืมเจ้าของโรงงานเขามีกำไรไปแล้ว เขาสามารถเปลี่ยนธุรกิจไปทำอย่างอื่นได้ แต่แรงงานที่เหลือมโหฬารจะทำอย่างไร ดังนั้นไอเดียของพรรคประชาชนคือการลงไปดูระดับพื้นที่หรือจังหวัดเลยว่ามีความเป็นไปได้อย่างไร

อย่างสมุทรสาคร ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับการจัดการ Food waste ที่มีปริมาณมโหฬารในแต่ละวัน ทำอย่างไรให้มันเกิดมูลค่าต่อ ทำให้ธุรกิจมันขยายได้จริง หรือจะเอาไปที่เตาเผาขยะ เกิดอุตสาหกรรมใหม่ได้ หรือกรณีอู่ต่อเรือก็เป็นไปได้ แต่ถ้ารัฐส่วนกลางไม่ช่วยมันก็ไปยากเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าตรงนี้มันเป็นไปได้ เพราะผู้ประกอบการเขาก็ตระหนักรู้เหมือนกันว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้มันมีพื้นที่อยู่

พูดอีกอย่างก็คือ ถ้ามองภาพใหญ่ทั้งประเทศ เราอาจต้องเจาะจง Global niche มากขึ้น คือจากที่เราเคยคิดจะขายระดับ Global อย่างเดียวเลย ตอนนี้คงเป็นไปได้ยากแล้ว อย่างอุตสาหกรรมเรือใหญ่ๆยังไงเราก็สู้เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นไม่ได้ แต่เรามีสกิลการผลิตเรือขนาดเล็กและเรือประมงอยู่เพราะเราทำเรือแบบนี้มานาน จึงยังมีโอกาสส่งไปขายในประเทศที่กำลังซื้อยังมีและต้องการเรือไซส์นี้ เช่น บังกลาเทศ อินเดีย ภูมิภาคเอเชียกลางแถบนี้ยังเป็นไปได้อยู่ ดังนั้นผมคิดว่าความเป็น Global niche น่าจะเป็นโจทย์ เป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมครั้งต่อไปได้ พวกนี้จริงๆเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมระดับกลางที่จ้างงานเยอะ ผมกังวลเรื่องงานมาก เพราะเรื่องงานมันโยงไปที่หนี้ครัวเรือนด้วย คนมีงานอย่างน้อยก็มีรายได้ประจำ อย่างข้าราชการที่ยังผ่อนจ่ายได้ ก็เพราะมีรายได้ประจำ ดังนั้นโจทย์เรื่องงานมันตอบโจทย์ทั้งในเชิงคุณภาพชีวิต ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ พอเอางานเป็นตัวตั้งผมคิดว่าเราอาจกลับมาที่โจทย์ Global niche มากกว่า

  • จะแก้ปัญหาด้วยการดึงบริษัทใหญ่ๆระดับโลก ธุรกิจใหม่ๆ มาลงทุนไม่พอหรือ?

คือธรรมชาติอย่างหนึ่งของธุรกิจใหม่อย่าง Data Center หรือแม้แต่โรงงานชิป มันใช้คนน้อยมาก Data Center ก็ใช้คนหลักร้อย โรงงานชิปที่พูดกันว่าลงทุนระดับหมื่นล้านบาทแต่จ้างคนแค่หลักร้อย เพราะส่วนใหญ่มันเป็น automation แล้วก็จ้างวิศวกรที่ก็ต้องส่งไปเทรนที่ต่างประเทศก่อน ซึ่งการลงทุนระดับหมื่นล้านแต่จ้างงานหลักร้อย มันไม่ได้เป็นแบบอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เราเคยเป็น

  • จ้างงานน้อย แถมกำไรยังไหลกลับออกไปข้างนอกอีก?

จ้างงานเยอะหรือน้อย กำไรก็กลับไปข้างนอกอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยถ้าแรงงานมันมีปริมาณพอสมควร อย่างที่เราเคยเป็นในอุตสาหกรรมยานยนต์มันก็ทำให้ซัพพลายเชนมันยาว เพราะยานยนต์นั้นพอเราสร้างอุตสาหกรรมทั้งซัพพลายเชนได้เรากำลังพูดถึงคนระดับ 6-7 แสนคน มันยังมีระบบไฟแนนซ์ ดีลเลอร์ เป็นต้น งานมันถึงสำคัญ ในแง่นี้ งานควรจะเป็นตัวตั้ง ถ้ามีงานดีและรักษาระดับการจ้างงานให้มันเกิดขึ้นจริงมันจะช่วยตอบโจทย์บรรเทาเรื่องหนี้ครัวเรือน ทำให้เศรษฐกิจระดับพื้นที่มันดี ข่าวเร็วๆนี้กลายเป็นเรื่องนักศึกษาจบใหม่หางานยาก ดังนั้นโจทย์เรื่องงานมันจะตอบโจทย์หลายเจเนเรชั่นด้วย

  • หลายภาคการผลิตไทย ตกอยู่ในภาวะคอปริ่มน้ำ?

ผมคิดว่ารัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเรื่องสินค้าจีนไหลทะลักจริงๆ ต้องจริงจังกว่านี้ คือตอนนี้ถ้าถามว่ารัฐบาลทำอะไรไหม? เขาก็ทำอยู่นะ ตั้งแต่ยุคคุณภูมิธรรมเป็น รมต.พาณิชย์ และก็ต่อมาด้วยคุณพิชัย แต่แนวทางที่เขาเสนอคือเขาจะพาธุรกิจไทยไปบุกตลาดจีน ไปบุกตลาดโลกให้มากขึ้นเพื่อเอายอดตรงนี้มาชดเชยส่วนที่มันขาดดุลหรือนำเข้าจากจีน ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามันไม่ตรงจุด เพราะว่าคนที่เจ็บ กับคนที่ได้มันคนละคน เพราะคนที่ได้มันเป็นธุรกิจระดับกลาง เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ไปขายของในจีน หรือทำซีรีย์ไปขายในจีน มันเป็นคนละกลุ่มกัน แต่คนที่เจ็บอาจจะตายไปเลยจากโมเดลนี้ก็ได้ ดังนั้นการดูตัวเลขแค่บวกกับลบมันไม่พอ เพราะฝั่งคนที่มันลบ มันมีปริมาณมโหฬาร มันเป็นเอสเอ็มอีทั้งนั้น ตอนนี้เลือดมันไหล มาตรการเร่งด่วนที่รัฐควรให้ความสำคัญตอนนี้คือการไหลทะลักของสินค้าจีน

แต่ต้องทำแบบแฟร์ด้วยนะ เพราะต้องยอมรับว่ามาตรฐานการตรวจสอบของเรา มันค่อนข้างอ่อนจริงๆ ตัวสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือ สมอ. เขาบอกว่ากฏหมายเขาดูได้เพียง 144 รายการ ถ้าจะทำให้เขาทำงานได้ดีขึ้น ก็ต้องเพิ่มทั้งกำลังคน เพิ่มกฏหมาย เพิ่มประกาศให้เขามีอำนาจการตรวจสอบสินค้าได้มากขึ้น เพราะคนที่เขานำเข้าส่งออก เขาจะรู้ว่ามันมีรูโหว่ที่เขาจะระบุชนิดสินค้าให้ไม่ผ่านการตรวจสอบได้

อีกเรื่องคือเรื่องนอมินีทำธุรกิจ ของไทยมันดันไปอยู่ใต้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งจริงๆแล้วเขามีแต่คนรับจดทะเบียน คนทำธุรกิจก็ทราบ แต่ฟังก์ชันการทำธุรกิจนอมินีผิดกฏหมายดันเป็นอำนาจของกรมนี้ด้วย ทั้งที่เขาไม่ใช่ตำรวจ เขามีคนดูแลในส่วนนี้ไม่กี่คน

ดังนั้นปี 2567 ที่ผ่านมาแทบทั้งปี เขาแทบจะจับคนเป็นนอมินีธุรกิจผิดกฏหมายไม่ได้เลย เพราะมันต้องอาศัยทั้งกำลังคนและทักษะการสืบสวนสอบสวนด้วย มันไม่ใช่การดูแค่กระดาษ มันต้องไปดูโรงงาน ดูการไหลของเงิน พออำนาจมันไปอยู่ภายใต้กรมนี้ซึ่งเดิมแค่รับจดทะเบียนมันก็เลยทำให้การทำหน้าที่ไม่ครอบคลุม นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องเข้าไปควบคลุมเพิ่มเติมสรรพกำลัง เพราะตอนนี้เลือดไหลไม่หยุดจริงๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุยกับกลุ่มธุรกิจทุกจังหวัดได้ คือคุณไปคุยกับเกษตรกรเขาก็พูดเรื่องนี้ คุณไปคุยกับเอสเอ็มอีทำเฟอร์นิเจอร์เขาก็พูดเรื่องนี้ คุณไปคุยกับโรงงานระดับกลาง หรือส่งออก เขาก็พูดเรื่องนี้ แม้แต่วงการดิจิทัลก็ยังพูดเรื่องนี้เลย วงการอีคอมเมิร์ซ แม่ค้าออนไลน์ก็พูดเรื่องนี้ ผมคิดว่าแทบจะเป็นเรื่องเดียวที่ทอล์กออฟเดอะทาวน์ คนคุยกันทั้งประเทศ

  • โครงสร้างกฏหมาย บุคลากรที่จะสู้เรื่องนี้มันไม่พอ?

ไม่พอครับ… กฏหมาย กำลังคน และก็เจตจำนงของรัฐด้วย แม้จะพยายามดันฝั่งบวก แต่ต้องย้ำว่าฝังลบมันตายจริง และมันเป็นคนละคนกับฝั่งบวก

  • มองไปข้างหน้า อะไรจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ทำให้ประเทศไทย ไม่น่าดึงดูดให้มาลงทุน

จริงๆมันเป็นวัฏจักรโลกเหมือนกัน มันไม่มีประเทศไทยอยู่ยั้งยืนยง เวียดนามก็เคยมองเราเติบโต มาเลเซียก็เคยมองเราและอิจฉาเราเติบโต พอถึงวันหนึ่งเราค่าแรงสูง คู่แข่งใหม่ๆมา มันก็มีโอกาสที่ความน่าดึงดูดมันจะลดลง เราได้อานิสงค์ หลังต้มยำกุ้งเราโตด้วย 2 อุตสาหกรรมหลักคือฮาร์ดดิสไดร์ฟกับยานยนต์ ซึ่งเป็น “เดอะแบก” เศรษฐกิจไทยมา 20 ปี แล้วผมคิดว่าเราก็อาจจะชะล่าใจมากไปหน่อย พอ “เดอะแบก” ทำงานดีก็เลยไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะหา “เดอะแบกคนใหม่” ในอนาคต จนตอนนี้มันเจอปัญหาแล้ว

ในแง่หนึ่งมันเป็นธรรมชาติของทุกอุตสาหกรรมที่จะเจอการดิสรัป แล้ว 20 ปีที่แบกกันมามันก็นานพอที่จะต้องเจอการปรับปรุงครั้งใหญ่ ดังนั้นก็ควรจะถือโอกาสในการปรับปรุงครั้งใหญ่ ซึ่งถ้าพูดกันในรายระเอียดจริงๆมันต้องลงไประดับงบประมาณเลย เช่น รีสกิลที่พูดกันเยอะ พูดกันมาเป็นสิบๆปี แต่ถ้าไปดูงบประมาณเลยจะพบว่าน้อยมาก แล้วก็ไม่มีหน่วยงานที่ทำจริงจังเรื่องนี้ เราพูดกันว่าจะทำอีวี แต่ช่างที่แก้ปัญหาและทำเรื่องอีวีตอนนี้มีน้อยมาก ดังนั้น ต้องทำให้คำพูดที่พูดกันจนชิน มันกลายเป็นการปฏิบัติได้จริง

อย่างเรื่องยานยนต์ ปีงบประมาณ 2568 ที่เริ่มใช้เดือนตุลาคม ไปจนถึงกันยายนปีหน้า มีงบประมาณยานยนต์สมัยใหม่ประมาณ 8,600 ล้านบาท ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ 8,000 ล้านก้อนนี้จ่ายไปกับการอุดหนุนคนที่ซื้อรถอีวีล้วนๆ เหลืองบมารีสกิล 500 ล้าน ยังไม่นับว่าใส้ในของงบรีสกิลแยกกระจายไม่รวมศูนย์ ไม่ค่อยชัดเจนว่าจะรีสกิลด้านไหน ดังนั้นโดยตัวเงินต่อให้ดูเหมือนเยอะ แต่กลับกลายเป็นฝั่งดีมานต์ ฝั่งซัพพรายที่จะช่วยคน ยกระดับคน ยกระดับโรงงานนี่มันน้อยมาก คือถ้าลงรายละอียดต้องลงในระดับตัวเลข เพราะถ้าคุณจะเขยื้อนรัฐไทย คุณต้องเขยื้อนด้วยงบประมาณ

  • ประเมินนโยบายรัฐบาลปัจจุบันในปี 2568

เรื่องนโยบายแจกเงินหมื่น ผมคิดว่ามันพอจะดูความคึกคักได้นะ สมัยที่มีกองทุนหมู่บ้าน ยุครัฐบาลไทยรักไทย หมู่บ้านละล้าน ประเทศไทยมีประมาณ 7 หมื่นหมู่บ้าน ดังนั้นเราใช้เงินไปประมาณ 7 หมื่นล้านในการสร้างความคึกคักให้เศรษฐกิจท้องถิ่น ตอนนั้นผมคิดว่าเราสัมผัสกันได้ว่ามันมีความคึกคัก ตลาดในกรุงเทพ ตลาดต่างจังหวัด มันมีความเคลื่อนไหว แต่รอบนี้เราใช้เงินไปแล้วประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ทำไมเราไม่เห็นความคึกคักเท่ากับสมัยนั้น แน่นอนมันมีเรื่องเงินเฟ้อหากเทียบกับปัจจุบันแต่อย่างน้อยก็พูดได้ว่าเงินที่ใช้มันเท่ากันหรือมากกว่าแน่นอน คำถามคือเงิน 1.5 แสนล้านไม่ใช่น้อยๆ ทำไมเราไม่เห็นความคึกคัก จริงๆเรื่องพวกนี้ไม่ต้องดูเป็นตัวเลข คุณเดินไปตลาดก็รู้เลย แม่ค้าเอาของมาขายเยอะขึ้นไหม? คนเดินตลาดบ่อยขึ้นไหม มันเห็นชัด แต่ทำไมเราไม่เห็น

ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือรูรั่วทางเศรษฐกิจของเรามันเยอะขึ้น อิคอมเมิร์ซเมื่อ 20 ปีที่แล้วเราไม่มี แต่รอบนี้มันมี มันมีสมมติฐานหนึ่ง เนื่องจากเราไม่จำกัดการใช้ ส่วนหนึ่งก็ไหลไปที่การใช้หนี้นอกระบบสูง ซึ่งก็ต้องไปดูตัวเลข เพราะถ้ามันไม่ไหลกลับมาที่จีดีพีมันก็มีโอกาสไหลไปช่องพวกนี้ มันคือรูรั่วเศรษฐกิจไทยเยอะขึ้นเรื่อยๆ สินค้าจีนคือหนึ่งในรูรั่วที่ทำให้เศรษฐกิจมันไหลออก ดังนั้นเฉพาะหน้ามันคือการหยุดเลือด ปี 2568 ควรเป็นปีแห่งการหยุดเลือด ถ้าไม่หยุดเลือดก็ไม่แรงที่จะเดินต่อในปี 2569 หรือ 2570

  • เป็นสองปีแห่งการซ่อม?

หยุดเลือดเลย หนักกว่าซ่อม… ยังสร้างพร้อมๆกันไปได้ แต่ถ้าคุณไม่หยุดเลือด จะฟื้นฟูร่างกายยังไง ถ้าไม่ห้ามเลือด จะออกกำลังได้ยังไง…