ไทยกับเกาหลีใต้พัฒนาความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทั้งการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมและวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อ 1 ตุลาคม 1958 ประเทศไทยสนับสนุนท่าทีของรัฐบาลเกาหลีใต้เกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่างๆ ในสังคมนานาชาติ ในฐานะประเทศพันธมิตรทางสงครามเพราะเคยส่งกำลังทหารไปช่วยรบในสงครามเกาหลี เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1950

เพื่อเป็นการร่วมฉลองความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ดำเนินมาถึงปีนี้ครบ 65 ปีแล้ว นายมุน ซึง-ฮย็อน (Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า

“เรามีกิจกรรมหลายด้านแล้วเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้แก่ การประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) ที่แสดงถึงการครบรอบ 65 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต สำหรับใช้ในกิจกรรมและโครงการเฉลิมฉลอง โดยผู้ชนะเลิศการออกแบบเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลเป็นบัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับ (กรุงเทพฯ-กรุงโซล) 2 ที่นั่ง และห้องพักโรงแรม 4 ดาว 3 คืน ในเกาหลี ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ คือ Samsung Galaxy tab S7”

“มีการสร้างและปรับปรุงทางเดินไปกลับน้ำตกเหวนรก ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เรียกว่า ทางเดินมิตรภาพระหว่างเกาหลีกับไทย ยาวประมาณหนึ่งกิโลเมตร เดิมมีทางเดินอยู่แล้วแต่สภาพค่อนข้างทรุดโทรม รัฐบาลเกาหลีได้จัดงบฯ เพื่อซ่อมแซมตกแต่ง”

“ปีนี้ ครบรอบ 70 ปีของความตกลงการสงบศึกของเกาหลี และไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมในสงครามเกาหลี รัฐบาลเกาหลีไม่ลืมน้ำใจของทหารผ่านศึกที่เคยเข้าร่วมในสงครามเกาหลี ดังนั้น จะมีกิจกรรมเพื่อรำลึกด้วย”

สงครามเกาหลี ระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน 1950-27 กรกฎาคม 1953 ยุติลงด้วยการสงบศึก ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ ทำให้เกาหลีใต้และกองกำลังสหประชาชาติ นำโดยสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในฐานะคู่สงครามกับเกาหลีเหนือ

สำหรับวันชาติของสาธารณรัฐเกาหลี หรือประเทศเกาหลีใต้ คือวันที่ 3 ตุลาคมของทุกปี สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันชาติเป็นประจำทุกปีด้วยเช่นกัน

“เราได้จัดโชว์โดรนมิตรภาพไทย-เกาหลีอย่างยิ่งใหญ่ในวันชาติเกาหลีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม 2022 ณ หอประชุมกองทัพเรือ เหนือท้องฟ้าของแม่น้ำเจ้าพระยา”

“ส่วนงานฉลองวันชาติปีนี้ เราจะเชิญนักร้อง และนักเล่นไวโอลิน เกาหลี มาแสดงที่ไอคอนสยาม”

การผจญภัยของท่านทูตมุน ซึง-ฮย็อน ในต่างแดน

“โดยปกติ นักการทูตเกาหลีต้องย้ายสถานที่ทุกๆ สามปี คือ อยู่เกาหลีสามปี ไปประจำต่างประเทศสามปี แล้วกลับไปอยู่เกาหลีสามปี ดังนั้น การตั้งถิ่นฐานค่อนข้างยาก ปัญหาที่ตามมา คือเรื่องการศึกษาของลูกๆ”

“ผมไม่ได้ทำงานเฉพาะในประเทศที่เจริญแล้วอย่างมากเช่นสหรัฐ แต่ไปประจำในประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น ซีเรีย และอิรัก”

“ก่อนหน้านั้นผมทำงานที่สหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก และอย่างที่บอกไปแล้วว่า มีโอกาสที่จะทำงานที่นั่นสามปี แต่ทำเพียงสองปีผมก็สมัครไปทำงานที่อิรัก ซึ่งผมคิดว่าเป็นงานที่มีความหมายมากกว่าและอาจมีประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย”

“แต่ก็ไม่ได้นึกเสียใจในการตัดสินใจไปทำงานที่นั่น แม้เสี่ยงภัยอันตรายและท้าทายอย่างมาก ในสภาพแวดล้อมที่มีระเบิด เห็นทหารสหรัฐเสียชีวิตในที่นั้น ส่วนครอบครัวของผมอยู่ที่นิวยอร์ก ผมไปอยู่ที่อิรักคนเดียวประมาณ 17 ถึง 18 เดือน ก็นับเป็นประสบการณ์ที่สำคัญของนักการทูต”

“ช่วงนั้น ทหารเกาหลีประมาณ 3,000 คนประจำการทางตอนเหนือของอิรักเพื่อช่วยเหลือ ‘เคิร์ด’ (Kurd) การต่อสู้เกิดขึ้นในส่วนอื่นๆ ของประเทศกับกองกำลังพันธมิตร เราประสบกับการทิ้งระเบิดเป็นครั้งคราวและมีการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม กองทหารของเราช่วยเหลือในการสร้างโรงเรียน และโรงพยาบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ประเทศที่ส่งทหารไปอิรักมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา อันดับสอง คืออังกฤษ และอันดับสาม คือเกาหลี”

“สถานทูตจึงเป็นเหมือนสะพานเชื่อมการทำงาน คอยประสานงานระหว่างรัฐบาลเกาหลีกับอิรัก นับเป็นข้อต่อที่สำคัญมาก”

การทูตกับความท้าทายในประเทศไทย

“เป็นครั้งแรกของผมที่มารับตำแหน่งในประเทศไทย จึงไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณปีกว่าแล้ว ก็ค่อนข้างมีความคุ้นเคยและมีความสะดวกใจในการทำงานมากขึ้น แน่นอน เรื่องความร่วมมือระหว่างสองประเทศนี้ใกล้ชิดดีอยู่แล้ว”

“แต่ที่ผมรู้สึกเสียดายก็คือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งควรจะต้องมีปริมาณการค้า การลงทุนระหว่างประเทศของเรามากกว่านี้ แม้มีบริษัทเกาหลีใต้ 400 แห่งมาลงทุนในไทยแล้วก็ตาม เช่น Samsung, LG และ Posco แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน นับว่าการลงทุนของเกาหลีใต้ในไทยน้อย โดยอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งมากกว่าลาวและกัมพูชาเท่านั้น ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะผลักดันส่วนนี้”

“ผมทำงานเป็นนักการทูตมา 35 ปีแล้ว ก็ยังคิดว่าไม่ค่อยเข้ากับตัวเองเท่าใดนัก ตอนนี้ก็นับเป็นปลายทางของงานอาชีพนี้แล้ว เพราะผมจะเกษียณอายุปีหน้า”

“เมื่อคิดย้อนกลับไป ถือว่าเป็นงานอาชีพที่ท้าทายอย่างมาก เพราะต้องไปทำงานหลายประเทศ ได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตา แล้วก็ต้องมีความรู้หลายด้านด้วย แต่จากประสบการณ์เหล่านี้ช่วยทำให้ผมมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเป็นนักการทูต

“คุณลักษณะที่สำคัญสำหรับนักการทูตก็คือ มีความซื่อสัตย์ และมีใจแบบเปิดกว้าง”

“นักการทูตมีโอกาสที่จะได้พบกับคนมากหน้าหลายตาที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา สีผิว ระดับเศรษฐกิจ ฯลฯ เพราะฉะนั้น ถ้าอคติเมื่อไหร่ก็อาจจะเกิดการเข้าใจผิดได้ แต่หากมีใจที่เปิดกว้างแล้วก็จะยอมรับได้ในทุกสถานการณ์”

กิจกรรมนอกเหนือจากงานประจำ

“ผมอายุ 60 แล้ว อยากให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ จึงพยายามหาเวลาไม่ช่วงเช้าก็ช่วงเย็น ออกกำลังกายประมาณชั่วโมงกว่าๆ สัปดาห์ละ 3-4 วัน ปกติผมตื่นตี 4 กว่าๆ สวดมนต์ อ่านคัมภีร์ไบเบิล นั่งสมาธิประมาณ 20 นาที เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ แล้วจึงไปทำงาน”

การวางแผนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นหลังเกษียณ

“เป็นนักการทูตไปทำงานก็หลายประเทศ แต่ผมยังไม่มีโอกาสไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน หลังเกษียณ จึงวางแผนที่จะไปทั้งสองประเทศนี้ โดยตั้งใจไปอยู่ในชนบทญี่ปุ่น 6 เดือน และชนบทจีน 6 เดือน เพื่อจะได้เข้าใจถึงวัฒนธรรมและภาษาของพวกเขา ทั้งสองประเทศนี้ใช้เวลาหนึ่งปี”

“นอกจากนี้ ยังวางแผนว่า ทุกปีจะศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมและสอบให้ได้ประกาศนียบัตร เป็นการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจนถึงอายุ 70 ซึ่งหลังจาก 70 แล้วสุขภาพก็อาจจะไม่ดีนัก ก็คงเที่ยวพักผ่อนและจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยด้วย”

ท่านทูต มุน ซึง-ฮย็อน ฝากแง่คิดไว้ว่า

“เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก มีพื้นที่ทั้งหมด 99,208 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมพื้นที่ของน้ำ (ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ แม่น้ำ) ที่อยู่ภายในดินแดนนั้นด้วย และ 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเป็นภูเขา”

“แม้เกาหลีเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานนั้นเต็มไปด้วยศึกสงครามมาโดยตลอด”

“จนสิ้นปี 2020 เกาหลีใต้ก็ได้ก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ผมก็เลยนึกถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ เพราะบริษัทเกาหลีมีคติพจน์เขียนไว้ว่า”

“ทรัพยากรจำกัด แต่ความคิดสร้างสรรค์ไม่มีวันจำกัด”

“การทำงานในองค์กร ความคิดสร้างสรรค์สำคัญมาก เพราะเป็นทักษะในการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ยิ่งเรามีความคิดสร้างสรรค์เท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพบทางแก้ปัญหาและโอกาสใหม่ๆ สิ่งสำคัญคือ ต้องเปิดใจให้กว้าง การมีทัศนคติไม่ดีจะเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ และเลิกยึดติดกับการทำงานรูปแบบเก่า”

“ดังนั้น เราจึงควรนำเอาปรัชญาในเรื่องความคิดสร้างสรรค์นี้ เป็นหลักในการทำงาน” •

รายงานพิเศษ | ชนัดดา ชินะโยธิน

Chanadda Jinayodhin

สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj

— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022