จาตุรนต์ ฉายแสง กับคำตอบครั้งที่ 503 ปมข่าวดีลลับ-ดีลลวง พปชร.ย้ายค่ายมารวม

จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ตอบทันทีถึงคำถามร้อนที่ถูกถามแล้วถามอีก จนเปรียบเปรยเป็นครั้งที่ 503 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีมีข่าวพรรคเพื่อไทยจะรวมขั้วตั้งรัฐบาลเองว่า “พรรคเพื่อไทยตอนนี้มีเรื่องที่จะทําเพียงเรื่องเดียวในช่วงนี้ก็คือ หาทางสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนําจัดตั้งรัฐบาลให้สําเร็จ ไม่มีคิดเรื่องอื่น”

เรื่องอื่นคือกรณีที่มีคนมาบอกว่าพรรคพลังประชารัฐเตรียมจะยุบพรรคแล้วให้ส.ส.มาอยู่พรรคเพื่อไทย คําตอบคือในส่วนนี้เราไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาจะทําหรือไม่ทําอย่างไร จะทําอย่างที่เป็นข่าวหรือไม่ เราไม่ทราบ แต่ที่บอกว่าถ้ายุบแล้วจะมาทางนี้ไม่มีอันนี้แน่นอน หัวหน้าพรรคยืนยันไปชัดเจนแล้ว

ผมจะพูดให้หนักกว่านั้นไปอีกก็คือ ถึงพวกคุณยุบกัน พรรคเพื่อไทยก็รับไม่ได้ ไม่มีทางรับเด็ดขาด เพราะว่ามันจะเป็นการไม่เคารพเจตนารมณ์ของประชาชน

ยิ่งคิดว่าถ้าเอามารวมแล้วจะได้เป็นพรรคเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง อันนี้เรียกว่าไม่มีใครยอมรับ ประชาชนน่าจะเกิน 90 เปอร์เซ็นต์เขาจะไม่ยอมรับ เพราะว่าผลจากการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลเขาเป็นอันดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทยเป็นอันดับสอง แล้วเราอยู่การเมืองมานาน ในสมัยก่อนเลือกตั้งกันเนี่ยเขาชนะกัน 2 คะแนน พรรคที่แพ้ไป ประกาศว่าพรรคที่ได้อันดับหนึ่งตั้งรัฐบาล เขาทํากันมาแบบนี้หลายครั้งหลายหน

คราวนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ไปคิดแบบให้ตั้งก่อน แล้วถ้าตั้งไม่ได้ อันดับสองก็ตั้ง ถ้าแบบนี้มันก็เท่ากับคุณก็ไม่อยากให้เขาตั้งสําเร็จ

ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคก็พูดแสดงความจริงใจชัดเจนแล้ว ส่วนพลังประชารัฐถ้ายุบแล้วคิดจะมารวมมันรับไม่ได้ มันเป็นคนละแบบเลย อุดมการณ์แนวทางมันไปคนละทางกันอย่างมาก เพราะเป็นคู่ต่อสู้กันมาตลอด

และพรรคเพื่อไทยก็ประกาศไปแล้วว่าไม่ร่วมมือกับพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติตลอดการหาเสียง

เพราะฉะนั้น มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ มันจะทําให้ประชาชนเขาไม่ยอมรับนับถือพรรคเพื่อไทยเลยนะ แล้วมันจะเสียหายอย่างอย่างร้ายแรง

และผมคิดว่านี่ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว ถ้าถามคนส่วนใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ผมเชื่อว่าคิดมาทางนี้

โจทย์ใหญ่ ปฏิรูปเพื่อไทย

จาตุรนต์ระบุถึงสิ่งที่ต้องทำในขณะนี้ว่า หัวหน้าพรรคมอบหมายให้มีคณะทํางานเพื่อที่จะไปสํารวจ รวบรวมความคิดเห็นของฝ่ายต่างๆ ทั้งนักวิเคราะห์ กลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่ไปเปิดเวที วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยเจอปัญหาอะไรบ้าง ก็ไปรวบรวมมาแล้วจัดวงเพื่อที่จะประเมินว่าเกิดอะไรขึ้น พรรคเพื่อไทยเราจะต้องปรับอะไร มีอะไรเป็นจุดแข็ง มีอะไรที่ทําได้ดีและมีอะไรที่เป็นปัญหาต้องแก้ไขเป็นประเมินและสรุปช่วงที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้ปรับขบวนกันต่อ

ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะว่าปัญหาคราวนี้ต้องยอมรับว่าเจอปัญหาหนัก พรรคที่ไม่เคยแพ้การเลือกตั้ง ไม่เคยเป็นที่ 2 เลย แล้วมากลายเป็นที่ 2 ทั้งๆ ที่โพลก่อนหน้านี้ และในช่วงวันสมัครพรรคเพื่อไทยนําห่างเลย แล้วผลออกมาเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องศึกษา

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็มีจุดแข็งที่ยังคงอยู่ ว่าเป็นพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ยืนตรงข้ามกับเผด็จการ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาพูดได้ว่าเป็นพรรคเดียวที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเผด็จการ ต่อมามีพรรคประชาธิปไตยอื่นเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งร่วมงานกันและแข่งกัน

อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นพรรคที่ประชาชนเชื่อ ประชาชนจํานวนมากเชื่อว่าทํานโยบายได้ คิดนโยบายได้ นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ อันนี้มันก็ยังติดอยู่กับพรรคเพื่อไทย

เพียงแต่ว่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาประชาชนอาจจะจัดลําดับความสําคัญของการเมือง เรื่องประชาธิปไตย เรื่องประเด็นทางสังคมอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับในอดีตที่อาจจะเน้นเรื่องเศรษฐกิจ หรือไม่ก็บางช่วงเน้นเรื่องประชาธิปไตยด้วย

เพื่อไทยที่เคยเป็นพรรคเดียวที่ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย พอมาเจอสภาพปัญหาแบบนี้ เราสํารวจดูว่าสิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งทํายังไงให้มันเข้มแข็งยิ่งขึ้น ให้มีโอกาสที่จะฟื้นคืนมา กลับมาสู่สถานะที่เป็นพรรคอันดับหนึ่งในคราวหน้า ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ จากพื้นฐานแบบนี้ แล้วพื้นฐานนี้มันอยู่กับประชาชนกับความเชื่อ ความเข้าใจของประชาชน แต่ในบริบทโลกโลกที่เปลี่ยนไป การสื่อสารที่เปลี่ยนไป ความรับรู้ของคนที่เปลี่ยนไป การจะต้องสื่อสารต่อประชาชนตลอดเวลา เป็นเรื่องที่จะต้องเรียนรู้ และต้องพัฒนาตัวเองให้ทันเหตุการณ์

แต่ผมเชื่อว่า ถ้าหลายๆ ฝ่ายรับฟังความเห็นของผู้ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ และทําอย่างที่หัวหน้าพรรคกับแกนนําพรรคกําลังพยายามทําอยู่แล้วก็นําไปสู่การปรับจริงๆ พรรคเพื่อไทยก็ยังจะอยู่ในการเมืองไทย

เป็นพรรคการเมืองที่มีความสําคัญในการเมืองไทยและในฝ่ายประชาธิปไตยได้

ส้มแดง-แข่งขันดุเดือด

อดีตรองนายกฯ มองว่า การผ่านการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวมามันทําให้พรรคการเมืองมีความรู้สึกว่าต้องแข่งกันอย่างเดียว ถ้าไม่แข่งก็ไม่ได้เสียง พอมาเป็นบัตรสองใบ ก็มีลักษณะแข่งกันที่เข้มข้น ในอนาคตการเมืองไทยมันอาจจะพัฒนาไปเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยแข่งกันเองเพื่อที่พรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งเป็นฝ่ายค้านก็ได้ ถ้าพรรคแบบ 3 ป.มันหมดสภาพไป

เรื่องแข่งกันเองนั้น การเป็นพรรคการเมือง มันมีทั้งแข่งขันกันตลอดเวลาและแข่งขันกันเข้มข้นในระหว่างเลือกตั้ง คืออาจจะไม่ได้เป็นพันธมิตรกันเท่าไหร่ในระหว่างการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าก็อาจจะไม่ถึงขั้นใส่ร้ายอะไรกัน มันไม่ควรพัฒนาไปในลักษณะนั้น

แต่ว่าการเป็นพันธมิตรและร่วมมือกันมันยังต้องมี เนื่องจากเราต้องแก้กฎหมายหลายฉบับร่วมกัน ยังจะต้องแก้รัฐธรรมนูญร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องทางยุทธศาสตร์ว่าต้องร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ ทําให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ พรรคไหนจะเป็นพรรคใหญ่แค่ไหนก็ตาม ก็จะเจออุปสรรค ไม่สามารถแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้จริงๆ เพราะว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหามันก็จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาอยู่ดี และบ้านเมืองก็ยังไปไม่ถึงไหนอยู่ดี ถ้ากติกาของประเทศนี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่

การจะทําให้กติกาเป็นประชาธิปไตยได้ต้องมีหลายฝ่ายเข้าร่วม และเริ่มต้นจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เพราะฉะนั้น ผมว่าก็ต้องหารือกันไป เรียนรู้กันไป

เวลาแข่งกันมันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา ก็มาทําความเข้าใจกัน ปรับความเข้าใจกัน

หรือไม่ก็ค่อยๆ ปล่อยให้เวลามันผ่านไปก็อาจจะเย็นลง

แล้วก็เอาเรื่องที่ต้องร่วมมือกันเฉพาะหน้า เช่น การร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลให้ได้แล้วก็วางนโยบายต่างๆ ร่วมกันในทางที่มันจะทําสําเร็จได้ แก้ปัญหาบ้านเมืองได้

และสเต็ปต่อไปก็ต้องคุยกันอีกอยู่ดีว่าจะเอายังไงกับเรื่องรัฐธรรมนูญ เอายังไงกับการที่จะทําให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย หรือแก้ปัญหาหลายเรื่องที่อาจจะต้องทําด้วยการแก้กฎหมาย การปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูประบบยุติธรรม ปฏิรูประบบราชการ กระจายอํานาจอะไร เรื่องพวกนี้ก็ต้องร่วมมือกันทั้งนั้น

อนาคตไล่ล่าประยุทธ์

ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังจะเป็นรัฐบาลอีก จาตุรนต์บอกว่า เขาต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนเลย เขาก็บริหารประเทศไม่ได้

แต่ว่าถ้าเขาจะดึงดันไปจริงๆ โดยมีฝ่ายค้านเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ แล้วก็เหมือนจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เพราะว่าอภิปรายเมื่อไหร่เขาก็ล้มเมื่อนั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์หลังจากนั้น

ผมว่ารัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าตั้งได้ ไม่จําเป็นต้องมีโจทย์ว่าจะเช็กบิล พล.อ.ประยุทธ์ยังไง

ขอเพียงแต่ให้กลไกต่างๆ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทํางานของรัฐบาล ทําเรื่องทุกอย่างให้ตรงไปตรงมา พล.อ.ประยุทธ์ก็จะมีชีวิตในบั้นปลายที่ลําบากมากแน่ๆ

ผมมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีชีวิตบั้นปลายที่ลําบากมาก โดยที่เราไม่ต้องไปทําอะไร