ย้อนคดี“ตายทิพย์”ในตำนาน ลูกสาว“อังกินันท์”สวมศพสึนามิ-ศัลยกรรมหนีคดีหนี้ 8,000 ล้าน

ข่าวการเสียชีวิตของเน็ตไอดอลชื่อดัง กับนักเรียนเตรียมทหาร ลูกชายของ พล.อ.สมชาย ชัยวณิชยา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ซึ่งถือว่าเป็นนายทหารระดับสูง ทำให้เกิดกระแสสังคมตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายชายมีการเสียชีวิตจริงหรือไม่ จนทางเจ้าหน้าที่ต้องออกมายืนยันว่า ฝ่ายชายเสียชีวิตจริง โดยมีหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบ รวมทั้งครอบครัวของทั้ง 2 ฝ่าย และไม่มีการช่วยเหลือใดๆ

จึงถือเป็นการยุติ ข้อสงสัยทั้งหมดไป

อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงเรื่องการ “ตายทิพย์” นั้น ย้อนกลับไปเกือบ 20 ปีที่แล้วมีคดีดังหนึ่งที่ถูกพูดถึงในสังคมอย่างมากคือ ปมลูกสาว “อังกินันท์” สวมเป็นศพสึนามิ หนี้ธุรกิจน้ำมัน 8,000 ล้าน 

แม้จะอำพรางตัวเองด้วยกลเม็ดซิกแซกต่างๆ มานานถึง 5 ปี แต่ท้ายที่สุด นางกันต์กนิษฐ์ หรือ ปานจิตร ชิ้นศิริ หรือ อังกินันท์ อายุ 43 ปี ลูกสาวคนเดียวของ “เสี่ยแป๋ง” นายอดีต ส.ส.ดังเมืองเพชรบุรี ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจกองปราบปราม

นางกันต์กนิษฐ์ วางแผนสวมศพเหยื่อสึนามิ เมื่อปี 2547 เพื่อลวงโลกว่าเสียชีวิตแล้ว จากนั้นก็ทำบัตรประชาชนโดยสวมชื่อคนอื่นอีกหลายครั้ง

ยิ่งกว่านั้นยังลงทุนผ่าตัดแปลงโฉมแล้วกลับมาใช้ชีวิตในชื่อใหม่

แผนทั้งหมดเกิดขึ้นเพื่อหนีคดีฉ้อโกงและหนี้สินกว่า 8,000 ล้านบาท

หลายๆ ขั้นตอนเชื่อว่า นายชาญชัย ชิ้นศิริ หรือ “เสี่ยหล่อ” สามี มีส่วนรู้เห็นด้วย!??

และตำรวจยังขยายผลไปถึงหน่วยงานราชการบางส่วน ที่อาจจะปิดหูปิดตาปล่อยให้นางกันต์กนิษฐ์ อยู่ในชื่อคนอื่นนานสองนาน

ลูกสาว “เสี่ยแป๋ง” จนมุม

นางกันต์กนิษฐ์ ถูกตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 ป. และ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 ป. จับกุมได้เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมา ขณะขับรถเก๋งออกจากที่พักถนนนางลิ้นจี่ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม.

นางกันต์กนิษฐ์ ซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อ น.ส.พะเยาว์ ปานหว่าง มีอาการตกตะลึงอย่างมาก เพราะไม่อยากเชื่อว่าตำรวจจะตามแกะรอยถึงตัวได้!!!

เธอยอมรับว่าเป็นคนคนเดียวกับนางปานจิต ที่ถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง แต่ปฏิเสธที่จะให้การเรื่องคดีฉ้อโกง

นางกันต์กนิษฐ์ ในปัจจุบันหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ปานบริเวณใบหน้าซีกซ้ายรอบๆ ดวงตา หายไป ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มค่อนข้างหนา กลับกลายเป็นบางเฉียบ เช่นเดียวกับจมูก เหลาและตกแต่งใหม่

เมื่อบวกกับทรงผมที่เปลี่ยน แทบไม่เหลือเค้าเดิม

จากนั้นตำรวจคุมตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักพร้อมจับกุมนายชาญชัย สามี ก่อนเข้าตรวจค้นและยึดของกลางไว้จำนวนมาก

ส่วนใหญ่เป็นเอกสารเกี่ยวกับการตายของนางกันต์กนิษฐ์ เอกสารการเปลี่ยนชื่อ-สกุล ของ 2 ผัวเมีย

ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของชาย-หญิงรวม 9 คน ส่วนใหญ่มีประวัติว่าเคยเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุลมาแล้ว

ตำรวจสงสัยว่าอาจจะเตรียมการไว้เพื่อสวมเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลอีก!??

นอกจากนี้ยังพบบัตรประชาชน นายสมพร มาลา แต่มีรูปติดบัตรเป็นภาพนายชาญชัย

 

เบื้องหลังพิชิตคดีดัง

การตามรอยนางกันต์กนิษฐ์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2547 หลังเจ้าหนี้รายหนึ่งของนางกันต์กนิษฐ์ เข้าร้องทุกข์กับ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผกก.2 บก.ป.(ขณะนั้น-ปัจจุบันครองยศ พล.ต.ต. ตำแหน่ง ผบก.ป.) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548

เจ้าทุกข์ระบุว่านางกันต์กนิษฐ์ และสามี เปิดบริษัท เอฟเวอร์กรีน จำกัด เป็นสื่อกลางซื้อขายน้ำมัน อาศัยที่ครอบครัวมีบารมี บริษัทต่างๆ จึงให้เครดิต ปล่อยสินเชื่อจำนวนมาก แต่ในที่สุดก็เบี้ยวหนี้ จนถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2547

นอกจากนี้ยังถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมเป็นเงินกว่า 8,000 บ้านบาท!!!

แต่หลังจากถูกฟ้องล้มละลายไม่นานก็เกิดเหตุการณ์สึนามิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือนางกันต์กนิษฐ์ ทว่าเจ้าหนี้สงสัยว่าจะเป็นแผนหนีคดีฉ้อโกง เพราะพบข้อน่าสงสัยหลายอย่าง

ตำรวจกองปราบปรามจึงาตรวจสอบเรื่องนี้ และพบพิรุธจริงๆ เริ่มจากช่วงเย็นวันที่ 31 ธันวาคม 2547 นายชาญชัย เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ปากน้ำเมืองระนอง ว่านางกันต์กนิษฐ์ หายสาบสูญไปขณะออกไปล่องเรือที่ชายฝั่งเกาะพยาม อ.เมืองระนอง แล้วเจอคลื่นยักษ์สึนามิ

อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา นายชาญชัย ระบุว่าพบศพภรรยาแล้วนำไปขึ้นฝั่งในพื้นที่ สภ.กะเปอร์ โดยมีหลักฐานบัตรประชาชน และบัตรเครดิตต่างๆ นอกจากนี้มีพยานเป็นเจ้าของเรือเช่าให้การยืนยัน

เจ้าหน้าที่จึงออกใบมรณบัตรให้ ก่อนที่นายชาญชัยจะนำศพไปฌาปนกิจและขอใบรับรองจากวัดใน จ.ระนอง

จากนั้นยื่นเรื่องขอรับเงินชดเชยจากเหตุสึนามิ ขอรับเงินค่าประกันชีวิตของภรรยาที่ทำไว้หลายบริษัท

เพราะหลักฐานต่างๆ บ่งชี้ว่านางกันต์กนิษฐ์ เสียชีวิตแล้ว คดีฉ้อโกงเงินมหาศาลจึงยุติไป ส่วนกองปราบฯ ก็เจอทางตันเช่นกัน

 

5 ปีผ่าน-เริ่มได้เบาะแส

เวลาเดินไปเรื่อยๆ จนผ่านมาถึง 5 ปี กองปราบฯ ได้รับการรประสานจากเจ้าทกุข์อีกครั้งซึ่งระบุว่า พบเบาะแสเกี่ยวกับนางกันต์กนิษฐ์ ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อ-สกุล รวมทั้งหน้าตาก็เปลี่ยนไปมาก

พ.ต.อ.กิตติศักด์ สุขวัฒน์กุล ผกก.5 บก.ป. ได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบคดีนี้ และจัดทีมเข้าสืบสวนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา

ตำรวจพบเบาะแสแรกเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของนางกันต์กนิษฐ์ ที่เขตบางพลัด เบื้องต้นทราบว่าเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2547 เจ้าตัวได้ไปขอเปลี่ยนชื่อและทำบัตรใหม่จากนางปานจิต มาเป็นนางกันต์กนิษฐ์ ชิ้นศิริ

ลายนิ้วมือจึงเป็นเบาะแสหลักที่ตำรวจใช้สืบหาบุคคลที่ได้ชื่อว่าตายไปแล้วถึง 5 ปี โดยประสานกับหน่วยงานต่างๆ

แล้วโชคก็เข้าข้าง เมื่อตำรวจได้ข้อมูลจากเทศบาลบางกรวย จ.นนทบุรี ว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2548 มีผู้หญิงชื่อ น.ส.พะเยาว์ ปานหว่าง อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 147 ม.7 ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณบุรี มาขอทำบัตรประชาชนใบใหม่

แต่ปรากฏว่าลายนิ้วมือไปตรงกับนางกันต์กนิษฐ์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่ทำบัตรให้และยังอายัดบัตรเก่าไว้ด้วย!??

เจ้าหน้าที่ขอบัตรดังกล่าวมาตรวจสอบ พบว่าใบหน้าเปลี่ยนไป แต่ที่ตรงกันคือลายนิ้วมือ

น.ส.พะเยาว์ จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ตำรวจตามล่าตัว

เบื้องต้นพบว่า น.ส.พะเยาว์ มีตัวตนอยู่จริง แต่เลขประจำตัว 13 หลักกลับมีถึง 2 ชุด ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิคของฐานข้อมูล เชื่อว่านางกันต์กนิษฐ์ ใช้ข้อผิดพลาดเรื่องนี้มาสวมรอยขอทำบัตรใหม่

 

แฉผ่าตัดหน้าที่เมืองจีน

ตํารวจตรวจสอบย้อนกลับไปจนพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้นางกันต์กนิษฐ์ ไปสวมรอยชื่อคนอื่นทำบัตรใหม่ถึง 2 ใบ เริ่มจาก น.ส.ชัยนคร ทิน่าน อายุ 36 ปี ที่เทศบาลสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2548 และอีกรายชื่อ น.ส.ณัฐ ศิริณัฐ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ปีเดียวกัน

แต่บัตรทั้ง 2 ใบมีปัญหา ไม่สามารถนำไปใช้ได้

นางกันต์กนิษฐ์ จึงใช้หลักฐานของ น.ส.พะเยาว์ มาทำบัตรที่บางกรวย แต่ก็ถูกจับได้อีก

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดนางกันต์กนิษฐ์ สามารถทำบัตรประชาชนในชื่อ น.ส.พะเยาว์ จนได้ ที่เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี

ขณะเดียวกันนายชาญชัย สามี ที่หลังจากทำเรื่องศพและรับเงินประกันชีวิตแล้วก็หายสาบสูญไปเช่นกัน!??

ตำรวจพบหลักฐานว่านายชาญชัยก็เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลถึง 5 รอบด้วยกัน ชื่อล่าสุดคือ นายสมพร มาลา อยู่บ้านเลขที่ 48 หมู่ 2 ต.นาสว่าง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี

ส่วนรูปโฉมที่เปลี่ยนไปของนางกันต์กนิษฐ์ พบว่าไปผ่าตัดที่เมืองจีน อาศัยการเดินทางโดยเรือซึ่งครอบครัวนายชาญชัย มีธุรกิจต่อเรืออยู่แล้ว จึงง่ายขึ้น

จนเวลาผ่านไป 3 เดือน นางกันต์กนิษฐ์ ก็กลับมาเมืองไทยด้วยใบหน้าใหม่ และเริ่มสวมรอยใช้บัตรประชาชนของคนอื่น

โดยนางกันต์กนิษฐ์ และสามี แม้จะวนเวียนอยู่ในกรุงเทพฯ แต่จะไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ จนในระยะหลังๆ ตัดสินใจเช่าบ้านเป็นหลักแหล่ง แต่ก็เช่าไว้ถึง 4 หลัง

หนึ่งในนั้นคือ บ้านเช่าเลขที่ 256/1 ภายในซอยศรีนคร ย่านถนนนางลิ้นจี่ กทม.

ชุดสืบสวนจึงซุ่มดูอยู่กระทั่งเจอตัวและสามารถจับกุมไว้ได้

ตำรวจพบข้อมูลอีกว่าปัจจุบันนางกันต์กนิษฐ์ มีอาชีพปล่อยเงินกู้อยู่ย่านศิริราช มีคนมีสีทั้งเขียว และสีกากี รวมไปถึงผู้มีอิทธิพลคอยช่วยเหลือ