พลิกปมคดีสุดรันทด ‘น้องต่อ’ หายปริศนา ลามถึงพรากผู้เยาว์ แม่รับพลั้งมือลูกดับ

ถือเป็นคดีที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างกว้างขวาง สำหรับกรณี “น้องต่อ” ด.ช.วัย 8 เดือน ที่ถูกระบุว่าหายออกไปจากบ้าน ในอ.บางเลน จ.นครปฐม ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยขณะนั้นพ่อ-แม่ของน้องต่อ ได้ให้ข้อมูลว่าลูกชายหายตัวจากบ้านโดยปริศนา ระบุว่ามีชายเสื้อเหลืองมาอุ้มน้องต่อออกจากบ้านไป

จนอาสาสมัครจากมูลนิธิต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือติดตาม ทั้งการดำน้ำในคลองใกล้บ้าน ใช้สุนัขกู้ภัยติดตาม พร้อมใช้โดรนตรวจสอบ แต่ก็ยังไม่พบร่องรอย

และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาติดตามทำคดี ตรวจสอบที่มาที่ไปทั้งหมด ก็ต้องพบข้อเท็จจริงที่น่าตกตะลึง ค้าประเวณีเด็ก การเป็นธุระจัดหา บังคับขืนใจ

จนในที่สุดเมื่อ “นิ่ม” ผู้เป็นแม่ ยอมรับสารภาพว่า “น้องต่อ” เสียชีวิตลงด้วยความไม่เจตนา และด้วยความกลัวจึงเอาศพไปซ่อนเร้นอำพราง ทิ้งในคลองหลังบ้าน

ข้อเท็จจริงก็คลี่คลาย!!

อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้ มีปัจจัยมาจากปัญหาสังคมเชิงโครงสร้างต่างๆ มากมาย

แน่นอนว่าเหตุผลทั้งหมดไม่สามารถเปลี่ยนจากผิดเป็นถูกได้ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ และตระหนักว่าสังคมที่เป็นอยู่นี้กัดกินชีวิตของเด็กและเยาวชนถึงเพียงไหน

รับรู้และหาทางป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีกต่อไป

นิ่มแถลง

คลี่ปมน้องต่อหายปริศนา

เหตุการณ์สลดนี้มีจุดเริ่มต้นเมื่อเช้ามืดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เมื่อ 2 สามีภรรยา คือ “พุด” อายุ 19 ปี และ “นิ่ม” ที่มีวัยเพียง 17 ปี ออกมาตามหา “น้องต่อ” ลูกน้อยวัยเพียง 8 เดือน โดยระบุว่าหายตัวปริศนาไปจากบ้านในพื้นที่หมู่ 6 ต.หินมูล อ.บางเลน จ.นครปฐม มีเพียงเบาะแสจากนิ่มที่ระบุว่า ขณะนอนหลับ มีชายใส่เสื้อเหลืองมาอุ้มลูกไป โดยตอนแรกคิดว่าเป็นญาติ แต่ต่อมาไม่ใช่ จึงขอความช่วยเหลือจากโลกโซเชียลช่วยกันตามหา

จากนั้นมูลนิธิกระจกเงาได้โพสต์ข้อความตามหาเด็กหาย ระบุรูปพรรณว่าเป็นเด็กสูง 70 เซนติเมตร หนักประมาณ 9 กิโลกรัม ผิวขาว เพิ่งโกนผม มีร่องรอยแผลมีดโกนบาดที่ศีรษะ มีแผลเป็นใต้คาง ข้อมือซ้ายสวมเชือกถักหลายสี

ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัย อาสาสมัคร และตำรวจเข้าตรวจสอบ โดยใช้สุนัขดมกลื่น 2 ตัวค้นหาก็ไม่พบ ขณะที่ตำรวจตั้งข้อสงสัยถึงโถส้วมในห้องน้ำที่มีร่องรอยโบกปูนใหม่ แต่เมื่อทุบตรวจสอบก็ไม่พบเบาะแส

เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสอบปากคำทั้งพุดและนิ่ม รวมทั้งพยานแวดล้อมที่เป็นคนใกล้ชิด ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ ก็ไม่พบว่ามีการติดต่อใคร จนกระทั่งวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ยังได้นำทั้งพุดและนิ่มเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งผลออกมาระบุว่า 1 ใน 2 คนมีเส้นกราฟผิดปกติ ซึ่งหมายความว่ามีการปกปิดข้อมูลบางอย่าง

ช่วงเวลาดังกล่าวเจ้าหน้าที่ก็ทำทุกทาง ทั้งใช้การบินโดรนค้นหา เดินเท้า ใช้นักประดาน้ำค้นหาใต้น้ำในคลองหลังบ้านของพุดและนิ่ม ลึกถึง 12 เมตร แต่ก็ยังไม่พบเงื่อนงำใดๆ

ขณะที่การตรวจสอบก็พบผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว คนแรกคือ “ลุงแจ้” อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อ “พุด” และเข้ามาเกี่ยวพันกับครอบครัว แต่จากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ ก็ไม่พบว่าวันเกิดเหตุที่น้องต่อหายตัวไป ได้เข้ามาใกล้พื้นที่บ้านพัก

นอกจากนี้ยังมี “นายหรั่ง” ซึ่งเป็นชายสติไม่ดี ที่อยู่ติดกับบ้านน้องต่อ ที่เจ้าหน้าที่คุมตัวไปสอบสวนหลังจากมีพยานระบุว่า พบว่าขี่จักรยานโดยมีเด็กอยู่ในตะกร้าหน้ารถ แต่เมื่อสอบสวนแล้วพบว่านายหรั่งให้การวกวน บางครั้งบอกว่าเป็นคนพาเด็กไปเอง พร้อมพาไปชี้จุดทิ้งเด็ก แต่ต่อมาปฏิเสธ ระบุว่าที่ทำแบบนั้นเพราะตำรวจรับปากจะให้กินข้าว

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ลงติดตามคดีนี้ด้วยตัวเอง ก็ออกมาให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบพบว่าคืนวันที่ 4 ต่อเนื่องวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่น้องต่อหายตัวไป นิ่มไม่ได้อยู่บ้าน ซึ่งต้องสอบสวนว่าเธอหายไปไหน

พร้อมใบ้เป็นนัยๆ ว่า มีแค่ “นิ่ม” คนเดียวที่รู้เห็นเรื่องนี้

สถานการณ์เริ่มบีดรัดเข้ามาทุกขณะ!!

บ้านที่เกิดเหตุ

จับ ‘พุด-ลุงแจ้’ พรากผู้เยาว์

แต่ก่อนที่จะคลี่คลายว่าตัวน้องต่อ ที่แท้จริงหายไปไหน ก็เกิดเรื่องช็อกซ้ำเข้ามาอีก เมื่อผลการตรวจดีเอ็นเอของน้องต่อ พบว่า พุดไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของน้องต่อ แต่กลับเป็นลุงแจ้ ที่เป็นเพื่อนของพ่อพุด

โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ว่า จะดำเนินคดีอาญานายพุด เรื่องของการขายบริการทางเพศ โดยให้ภรรยาตัวเองไปขายบริการให้เพื่อนพ่อ และเอาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว เพราะว่าขณะนั้นนิ่มอายุ 15 ปี เป็นความผิดของนายพุด

อีกส่วนหนึ่งความผิดที่พบคือ ลุงแจ้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นการพรากผู้เยาว์ ซึ่งวันนี้ในการแจ้งข้อหาคดีอาญาจึงมีอยู่ 2 คน

ต่อมาตำรวจ สภ.บางหลวง คุมตัวพุด ผู้ต้องหาฐานความผิดเป็นธุระจัดหาให้ภรรยาตัวเองไปขายบริการ และลุงแจ้ ผู้ต้องหาฐานความผิด พรากผู้เยาว์ มีสัมพันธ์กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ไปขออำนาจศาลจังหวัดนครปฐม ฝากขังผัดแรก โดยก่อนหน้าทั้งสองรายจะถูกนำตัวขึ้นรถคุมขัง นายพุดและนายแจ้มีสีหน้าท่าทีที่เคร่งเครียด

ขณะที่พุดเปิดเผยว่า สำหรับเรื่องผู้ชายเสื้อเหลืองที่นิ่มโกหก ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนเห็นเอง ซึ่งนิ่มบอกว่า นึกขึ้นมาเองในหัว เลยบอกตำรวจไปแบบนั้น ยืนยัน ยังคิดว่านิ่มไม่ได้โกหก และเชื่อใจอยู่ ยอมรับยังคงเชื่อมีคนเอาลูกไปแน่นอน แต่ก็ไม่ได้สงสัยบุคคลใด

และหลังจากรับคำร้องฝากขัง ศาลจังหวัดนครปฐมให้ประกันตัวลุงแจ้ ในวงเงิน 1 แสนบาท พร้อมทั้งใส่กำไลอีเอ็ม เพื่อติดตามพฤติกรรม ส่วนพุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ตามคำร้องของพนักงานสอบสวน

เป็นคดีที่แทรกเข้ามาจากเรื่องเด็กหาย!!

ล่องเรือหา

สารภาพโยนเด็กลงน้ำ

สําหรับเรื่อง “น้องต่อ” ทุกอย่างก็คลี่คลายไปเป็นลำดับ โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ในวันเกิดเหตุที่น้องต่อหายไปจากบ้านช่วงเวลา 05.48-08.30 น. วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นภาพทางออกหมู่บ้าน ห่างจากบ้านน้องประมาณ 200 เมตร จากการตรวจสอบพบว่า ช่วงเวลา 05.48-07.00 น. มีรถผ่าน 24 คัน ช่วงเวลา 07.01-08.00 น. มีรถผ่าน 34 คัน ช่วงเวลา 08.01-08.30 น. มีรถผ่านอีก 27 คัน

ทั้งหมดไม่พบพิรุธ และไม่พบนายหรั่งขี่จักรยานอุ้มเด็กในตะกร้าอย่างที่มีคนกล่าวอ้าง

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ระบุว่า จากการสอบปากคำ น.ส.นิ่ม เจ้าตัวยอมรับแล้วว่า พูดโกหกหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องชายเสื้อเหลืองอุ้มลูกออกไปนั้น ซึ่งทางนิ่มได้รับสารภาพแล้วว่าไม่ได้เห็นชายเสื้อเหลืองอุ้มลูกแต่อย่างใด

และในที่สุดความจริงก็ปรากฏ เมื่อนิ่มสารภาพว่า เป็นคนนำน้องต่อไปทิ้งในคลองหลังบ้านเอง

โดยก่อนเกิดเหตุ น้องต่อเป็นไข้สูงถึง 39 องศาเซลเซียส นิ่มได้พาลูกไปหาเจ้าหน้าที่อนามัย ซึ่งเจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่นิ่มไม่พาไป กลับไปรักษาตัวที่บ้าน ต่อมาเวลาประมาณตี 3 ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ น้องต่อร้องไห้งอแง จึงจับตัวลูกเขย่า จากนั้นลูกก็พลัดตกลงกับพื้น จึงอุ้มขึ้นมาพาไปนอนเพราะคิดว่าหลับ แต่พอตื่นขึ้นมาตอนตี 5 พบลูกไม่หายใจแล้ว ด้วยความกลัวความผิดจึงนำเด็กไปทิ้งลงคลอง

ทั้งนี้ สาเหตุที่นิ่มไม่ได้พูดความจริงแต่แรก เป็นเพราะมีแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เส้นเลือดในสมองตีบ ติดเตียง หากต้องติดคุกอาจจะไม่มีใครดูแลแม่ และยืนยันว่าพุดไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ที่ไม่บอกเพราะกลัวจะเกิดอันตราย ถูกทำร้ายได้

ด้วยความที่นิ่มเป็นเด็กอายุ 17 ปี ไปคลอดลูกคนเดียว เลี้ยงลูกคนเดียวทุกอย่าง ไม่มีใครช่วยดู บ้านสามีก็ไม่มีใครชอบ เลยไม่รู้จะไปปรึกษาถามใคร

โดยตำรวจแจ้ง 3 ข้อหา ได้แก่ 1.กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ซ่อนเร้นอำพรางศพ และ 3.แจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โดยศาลเยาวชนและครอบครัว จ.นครปฐม ให้ประกันตัว

จากนั้นนิ่มแถลง ยืนยันว่า ไม่ได้โกหกอีกแล้ว เพราะได้บทเรียนจากการโกหกมาเยอะ ที่ไม่ได้พูดความจริงกับตำรวจเพราะเจ้าหน้าที่เป็นผู้ชาย ใช้คำถามแบบผู้ใหญ่ จนไม่กล้าบอก ขอสังคมให้โอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ อยากกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง

ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่สะท้อนให้เห็นปัญหาสังคม ทั้งเรื่องการศึกษา การสาธารณสุข ความปลอดภัยในครอบครัว และหากไล่เรียงปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จนกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดก็พอจะมองออก

และควรศึกษาเป็นบทเรียน ไม่ให้เกิดเหตุสลดเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก!!!