วัดดวง ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ ใครถึงนายกฯ เปิดคำพูด ‘พี่ใหญ่’ สะท้าน ร.1 รอ.กับคีย์แมน-ไคฟงสยาม

จากทหารเก่า จากหัวหน้าคณะปฏิวัติ มาเป็นนักการเมือง แม้จะไม่ได้ลงสมัคร ส.ส.ก็ตาม แต่ก็ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีสถานภาพเป็นนักการเมือง เต็มตัวแล้ว หลังสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขึ้นเวทีเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ให้สมศักดิ์ศรีนายกรัฐมนตรี

แม้จะถูกวิจารณ์ว่าไม่ปัง แต่แป้ก กับวาทกรรม “ประเทศไทยต้องไปต่อ” และ “เคารพในระบอบประชาธิปไตย” และไม่มีอะไรใหม่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่สนเพราะพกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า ว่าจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

เพราะมั่นใจในกองหนุน กองเชียร์ ทั้งแบบเปิดเผย เปิดหน้า และอยู่เบื้องหลัง และพลัง อำนาจบารมี ที่สั่งสมมาตลอด 8 ปีที่เป็นนายกฯ แถมก่อนหน้านั้นเป็น ผบ.ทบ.มาถึง 4 ปี

 

ที่สำคัญคือ มีความเชื่อมั่นใน 3 คีย์แมนสำคัญข้างกาย

ทั้ง บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รอง ที่แม้จะประกาศตัววางมือทางการเมืองก็ตาม

แต่ในทางปฏิบัติก็จะยังเป็นกุนซือที่ปรึกษาส่วนตัวให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เบื้องหลังต่อไป เพราะ พล.อ.อนุพงษ์ไม่สามารถทิ้งน้องได้

ถือว่าในพี่น้อง 3 ป.นี้ พล.อ.อนุพงษ์สนิทสนมกับ พล.อ.ประยุทธ์มากกว่า เพราะเป็นทหารเสือราชินี หัวใจสีม่วง อยู่ ร.21 รอ.มาด้วยกัน และ พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้ความเคารพและเชื่อฟังในคำแนะนำของ พล.อ.อนุพงษ์มาตลอด

อีกคนหนึ่งคือ เดอะตุ๋ย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ พล.อ.ประยุทธ์คัดสรรแล้ว เพื่อมาทำนั่งร้านให้ ไปต่อ

แม้จะไม่เคยรู้จัก หรือสนิทสนมกับนายพีระพันธุ์มาก่อน ทั้งคู่เคยเจอกันครั้งแรกที่ ร.11 รอ. กองบัญชาการ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ในขณะนั้นรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กำลังเปิดปฏิบัติการขอคืนพื้นที่คนเสื้อแดงที่ชุมนุม ทั้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และสวนลุมพินี

นายพีระพันธุ์ ซึ่งตอนนั้นเป็น รมว.ยุติธรรม ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรอง ผบทบ. แม้จะไม่เคยรู้จักกัน แต่เมื่อพบหน้า พล.อ.ประยุทธ์ก็ทักทาย โดยเรียกว่า “พี่ตุ๋ย” ตามสไตล์บิ๊กทหาร ที่มักจะใช้คำนำหน้าเรียกกันว่า พี่ ไม่ว่าจะรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง หรือเพื่อนก็ตาม

ก่อนที่ต่อมาจะได้เจอกันอีกครั้ง เมื่อแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ เป็นที่ปรึกษานายกฯ ที่คาดว่าจากการแนะนำของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ในเวลานั้น แนะนำรุ่นพี่เซนต์คาเบรียลคนนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์พิจารณา

ด้วยภาพลักษณ์โปรไฟล์เลิศ เป็นนักกฎหมายและอดีตผู้พิพากษา แถมเป็นลูกทหารเหมือนกัน มีลูกสาวฝาแฝดเหมือนกัน วัยใกล้เคียงกันด้วย พล.อ.ประยุทธ์จึงเปิดใจรับนายพีระพันธุ์แบบเต็มๆ

“ผมเชื่อมั่นในตัวเขา เพราะเขาเป็นนักกฎหมาย นักการเมืองมาก่อน อยู่มาหลายปี นี่คือบุคลากรอันมีคุณค่าของเรา ผมรู้จักท่านมาหลายปี ในฐานะนักการเมืองที่มีคุณภาพ จึงทำให้เชื่อมั่น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงนายพีระพันธุ์บนเวทีเปิดตัวกับ รทสช.

 

หลังมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ 20 ธันวาคม 2565 นายพีระพันธุ์ก็ขึ้นมานั่งทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้ากับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังมีห้องทำงานส่วนตัวอยู่ที่ตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ตอนเป็นที่ปรึกษานายกฯ และกลายเป็นเงาตามตัว พล.อ.ประยุทธ์ในทุกที่ จนถูกเรียกว่า “2 ต. ตึกไทยคู่ฟ้า” คือ ต.ตู่ และ ต.ตุ๋ย

คงมีเพียงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่นายพีระพันธุ์ขอให้นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาฯ นายกฯ ที่ต้องเข้าร่วมประชุมในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ประชุมแทนมาหลายครั้งตั้งแต่รับตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ

ด้วยเหตุผลที่นายพีระพันธุ์ต้องการทำงานที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีที่ค้างเอาไว้โดยเฉพาะเรื่องร้องเรียนและแก้ปัญหาให้ประชาชนและได้มีกำหนดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วให้สำเร็จ เพราะการประชุมคณะรัฐมนตรีใช้เวลาหลายชั่วโมง

ดังนั้น เมื่อทำหน้าที่ในการสรุปเนื้อหาวาระที่จะประชุม เรื่องสำคัญให้ พล.อ.ประยุทธ์รับทราบแล้วส่ง พล.อ.ประยุทธ์เข้าประชุม นายพีระพันธุ์ก็จะเดินขึ้นห้องทำงานต่อ

 

นายพีระพันธุ์ถือเป็น man behind the scene พล.อ.ประยุทธ์มาตลอด ตั้งแต่มาเป็นนายกฯ ในยุค คสช. ในการกลั่นกรองงานด้านกฎหมายและเรื่องสำคัญต่างๆให้ พล.อ.ประยุทธ์มาแบบเงียบๆ ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯ อย่างเปิดเผย เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2 ในปี 2562

นายพีระพันธุ์ อดีตผู้พิพากษา ถือเป็นมือกฎหมายแถวหนึ่งของประเทศไทยคนหนึ่ง ที่จะมาทำหน้าที่แทนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมี พล.ต.วิระ โรจนวาศ เป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านกฎหมายแล้วก็ตาม

จนบรรดาเพื่อนฝูงและลูกน้องและลูกศิษย์ในแวดวงนักกฎหมายตั้งฉายานายพีระพันธุ์ว่า “ไคฟง แห่งสยาม” ที่เปรียบเสมือนศาลไคฟงของเปาบุ้นจิ้น เพราะให้ความสำคัญเรื่องของความยุติธรรมเป็นที่สุด อีกทั้งยังเคยเป็น รมว.ยุติธรรมมาก่อน จึงเรียกได้ว่านายพีระพันธุ์มีหลายฉายาทั้งเงานายกฯ และนายกฯ น้อย

อีกทั้งในห้วงที่ผ่านมานายพีระพันธุ์ยังได้เตรียมร่างกฎหมายหลายฉบับรอไว้ ทั้ง พ.ร.บ.ข้าวแห่งชาติ พ.ร.บ.ว่าด้วยการบริหารราชการฯ ที่ถูกต้องและเป็นธรรม พ.ร.บน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ร.บ.พักหนี้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการบริหารจัดการงบประมาณ และการรวมกฎหมาย 3 ฉบับ ที่กำกับโดย 3 กระทรวง พร้อม 4 พันคำสั่ง ที่ให้อำนาจรัฐเหนือเอกชนเข้าควบคุมดูแลกำกับคุณภาพและราคาเชื้อเพลิงที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนผู้บริโภค

 

นับตั้งแต่จรดปากกาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ก็เสมือนฝากชีวิตทางการเมืองไว้ในกำมือของนายพีระพันธุ์เลยก็ว่าได้

ความไว้วางใจนี้อาจเชื่อมโยงกับเซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่นของนายพีระพันธุ์กับ พล.อ.อภิรัชต์ น้องรัก ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยพระเอกมาตลอดอีกด้วย

เพราะศึกครั้งนี้เดิมพันอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ทำลายสถิติ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ที่เป็นมา 8 ปีหรือไม่ เพราะก็ได้เอาคนที่เคยอยู่ในแวดวง พล.อ.เปรมมาร่วมทีม คือ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ และร่วมอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ถูกเรียกว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์สาขา 2

 

ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมั่นใจว่าจะได้เป็นนายกฯ ได้เป็นรัฐบาลอีกสมัย โดยไม่คิดเผื่อใจว่าอาจมีการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เช่นที่เคยมีกระแสข่าวเรื่องบิ๊กดีลมา

เพราะพรรคเพื่อไทยคงรู้ดีว่า แม้จะชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.มากที่สุดในสภา แต่ก็อาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เช่น การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

นอกจากนี้ฝ่ายสนับสนุน 3 ป. ยังมั่นใจว่าสายสัมพันธ์พี่น้องยังคงเหนียวแน่น แม้แยกทางกันเดิน แยกพรรคกันอยู่ แยกกันในทางการเมืองก็ตาม แต่หลังเลือกตั้งก็คงได้ร่วมรัฐบาลกัน และ พล.อ.ประวิตรก็คงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ น้องชาย เป็นนายกฯ อีกครั้ง ตามประสาพี่ใหญ่

แต่ทว่า ข่าวที่สะพัดในมูลนิธิป่ารอยต่อฯ นั้น กลับระบุว่า ได้ยินเสียงพี่ใหญ่บ่นถึงน้องชายที่อยู่บ้านข้างๆ ในรั้ว ร.1 รอ. ที่แยกพรรคไปว่า “อยากเป็นฝ่ายค้านก็ช่าง”

โดยที่ตัว พล.อ.ประวิตรเองก็พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐหลายคนโดยเฉพาะนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ออกมาสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียวของพรรค และเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ มากกว่า พล.อ.ประยุทธ์

 

แม้ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์จะปฏิเสธการเป็นคู่แข่งคู่ชิงเก้าอี้นายกฯ กันเองก็ตาม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะเป็นการวัดพลังวัดบารมีของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ระหว่างพรรครวมไทยสร้างชาติ กับพรรคพลังประชารัฐเลยทีเดียว

แต่ที่ต้องจับตาคือ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่ต่างมีเกจิอาจารย์ และพระอาจารย์ หมอดูประจำตัว ที่ก็ต่างทำนายทายทักว่า จะได้เป็นนายกฯ จึงยิ่งทำให้ ทั้งพี่น้อง 2 ป.เกิดความมั่นใจว่าชัยชนะจะรออยู่เบื้องหน้า แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะเป็นรอง พล.อ.ประยุทธ์ในแง่คะแนนนิยม ภาพลักษณ์ อยู่หลายช่วงตัวก็ตาม แต่ก็ร่ำลือกันว่า ดวง พล.อ.ประวิตรจะได้เป็นนายกฯ

ต้องยอมรับว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ล้วนเป็นสายมูฯ ที่เล่นพระเครื่อง คล้องพระ ใช้เครื่องรางของขลัง อีกทั้งมีพระอาจารย์ หมอดูสำนักเดียวกันหลายคน แต่เมื่อต้องมาชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกันเองแบบนี้ จึงต้องแยกหมอดูแยกเกจิ พระอาจารย์ กันไปคนละสำนัก

จะเป็นพี่ป้อม หรือน้องตู่ หรืออาจพลิกเกม เป็นเสี่ยหนู ที่จะเป็นนายกฯ

อีกไม่นาน ก็จะได้รู้กัน