เปิด 2 ปมจุดสมประโยชน์ จับมือรุมเขย่าเก้าอี้ ผบช.น. วิบากกรรม ‘บิ๊กจ้าว’ ต้องฝ่า

อีรุงตุงนัง เกี่ยวพันกันไปใหญ่ คดี “ตู้ห่าว” หรือนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ เจ้าของผับจินหลิง ที่โดนตำรวจนครบาลบุกตรวจค้น 26 ตุลาคม 2565 พบลักลอบเปิดสถานบันเทิงให้บริการเฉพาะชาวจีนแล้วปล่อยให้มั่วสุมเสพยาเสพติด

ขณะนี้ “ตู้ห่าว” เป็นผู้ต้องหาในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดและสถานบริการ ที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว นำไปขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง

ตอนแรกคดีอยู่ในหน้างาน สน.ยานนาวา แล้วต่อมา “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ฝ่ายสืบสวนสอบสวนมาคุมคดี มีตำรวจนครบาลอยู่ในทีมปฏิบัติงาน

ต่อมามีการเสนอหลักฐาน ชี้ให้เห็นว่า ตู้ห่าวเป็น “อาชญากรรมข้ามชาติ” เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร

อำนาจการสืบสวนจึงมาอยู่ในมืออัยการ โดย ผบ.ตร.เป็นส่วนหนึ่งในทีม ได้แต่งตั้งชุดทำงานจาก บช.น., บช.ก., บช.ปส. และ บช.สอท.มาร่วมด้วย โดยมีอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดี

ชูวิทย์แฉ

ตัวตึงคือ “จอมแฉ” นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเสี่ยเจ้าของสถานบริการ และอดีตนักการเมืองคนดัง ได้พยายามนำข้อมูลต่างๆ คดีตู้ห่าวมาแฉผ่านทางเฟซบุ๊ก และเปิดแถลงข่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

หลายต่อหลายครั้งคนรู้สึกว่า ข้อมูลที่นำมาเปิดมีมากกว่าตำรวจ น่าเชื่อถือมากกว่า โดยเฉพาะการดิสเครดิต พุ่งเป้าโจมตี “บิ๊กจ้าว” พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ว่า ทำคดีตรงไปตรงมาหรือไม่ และเรียกร้องให้ย้าย “น.1” ไม่เช่นนั้นสะเทือนถึงเก้าอี้ ผบ.ตร.ไปด้วย

ต่อมาการแฉได้อัพเลเวลพุ่งไป “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโปงรถบัสบริษัทหลานชายมีเอี่ยวกับตู้ห่าว ทำให้คดีนี้เพิ่มดีกรีความร้อนแรงเข้าไปอีก

นายชูวิทย์เล่นใหญ่ถึงขนาดบุกไปตั้งโต๊ะหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่บิ๊กตู่ร่วมกิจกรรมเปิดตัวพรรครวมไทยสร้างชาติ จน “เสธ.หิมาลัย” ต่อสายให้จอมแฉเข้าจับเข่าคุยนายกฯ 15 นาที

ปรากฏว่าพอออกมาแฮปปี้เอนดิ้ง นายชูวิทย์พอใจ ยอมหยุดปากตามที่นายกฯ ขอ หลังจากบิ๊กตู่เอ่ยว่า “ชูวิทย์พอแล้ว หยุดได้แล้ว อย่าไปพูดทําร้ายใคร ถ้ามีหลักฐานก็นํามาแสดง และถ้าเป็นจริง ก็พร้อมที่จะฟัน”

ส่วนประเด็นจะให้ย้าย “น.1” นั้น นายชูวิทย์ยินดีให้เวลาตามที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “ถ้าย้ายในทันที ทำให้คนต่อว่าได้ ข้าราชการที่ดีจะตกใจ พอชูวิทย์พูดปุ๊บย้ายปั๊บ ต้องรอให้จเรตำรวจสรุปข้อเท็จจริง ซึ่งได้กำชับ ผบ.ตร.เรียบร้อยแล้ว”

 

สําหรับประเด็น “บิ๊กจ้าว” ที่ถูกนายชูวิทย์แซะจนเก้าอี้สั่นคลอน ด้วยการปล่อยคลิปและวิพากษ์การทำงานมีช่องโหว่ ทำให้สำนวนอ่อน อาจเปิดช่องให้ผู้ต้องหาหลุดนั้น

ผบ.ตร.ได้ให้ “บิ๊กหิน” พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

มี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ร่วมเป็นกรรมการสอบในทุกประเด็นเพื่อให้เกิดความกระจ่างแก่สังคม โดยรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 15 วัน

ในส่วนของ บช.ก. เป็นที่รู้กันว่า ผู้บัญชาการหนุ่ม ไม่อยากรับงานนี้เนื่องจากคดีตู้ห่าวบานปลายมาก แต่ด้วยความมีวินัย เมื่อ ผบ.เด่น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการมาต้องดำเนินการ

ภายหลังจอมแฉเข้าให้การคณะกรรมการที่มี “บิ๊กหิน” เป็นประธาน ดูเหมือนจะเปลี่ยนความคิดแง่ลบจากที่มองว่าคณะกรรมการชุดนี้แค่ “ลิเก” เป็นเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะเห็นรายนามนายตำรวจ จึงให้โอกาสทำงานก่อน และเชื่อว่าจะสามารถเอาผิดสีกากีนอกแถว และสร้างความกระจ่างให้กับสังคมได้

สำหรับตำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเหลือผู้ต้องหาคดีผับจินหลิงหลบหนีนั้น ขณะนี้ดำเนินคดีไปแล้ว 3 นาย มีพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 นาย ตำรวจ สน.ลาดพร้าว 1 นาย รวมทั้งตั้งข้อหากับรองผู้บังคับการนครบาล 6 อีก 1 นาย ส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช.แล้ว 3 คดี ส่วนอีก 1 คดีอยู่ระหว่างดำเนินการ

ขณะที่ฟากการดำเนินคดีตู้ห่าวของทีมสืบสวนสอบสวนนั้นมีความมั่นใจในพยานหลักฐาน ที่มีความละเอียดรอบคอบมาก ประกอบพนักงานสอบสวนไม่ได้มีตำรวจฝ่ายเดียว แต่มีอัยการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย ทำให้มีความรัดกุมสูงมาก

 

ส่วนประเด็นที่นายชูวิทย์ออกมาเปิดโปงนั้นลึกจนน่าสงสัยได้ข้อมูลมาได้อย่างไร ล้วนอยู่ในสำนวนคดีจินหลิง เกี่ยวข้องเส้นทางการเงิน และภาพกล้องวงจรปิด เป็นหลักฐานในที่เกิดเหตุในผับลับคนจีน ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกในสำนวนคดี ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถล่วงรู้ได้

ปรากฏ ผบช.น.มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ มี พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น. เป็นประธานสอบเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้อง

งานนี้มีการจับโป๊ะได้ เนื่องจากมีการตำหนิหลักฐานไว้ ดังนั้น เมื่อหลุดออกไป จึงรู้ทันทีรั่วมาจากจุดไหน

แน่นอนอยู่แล้วว่าส่งผลทำให้รูปคดีเสียหาย ผู้ต้องหาได้ประโยชน์ ล่วงรู้ข้อมูลหาทางแก้ต่างได้ กระทบต่อการพิจารณาคดีในชั้นศาล

ความสงสัยว่าใครคือ “เกลือเป็นหนอน” พุ่งเป้าไปที่นายตำรวจระดับ “พ.ต.ท.” ฝ่ายสืบสวนสังกัด สน.แห่งหนึ่งในพื้นที่นครบาล

ที่สำคัญ พบ “พ.ต.ท.” คนนี้มีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กสีกากี” นายหนึ่งด้วย

งานนี้จึงมีการอ่านเกมว่ามีการแตะมือร่วมขย่มเก้าอี้บิ๊กจ้าวกันหรือไม่ เพราะถ้าหลุดตำแหน่งได้ถือว่าสมประโยชน์ร่วมกัน

ในวงการสีกากียอมรับกันว่า น.1 คนนี้เป็นตำรวจน้ำดี ตรงไปตรงมา ยอมหักไม่ยอมงอ แวดวงตำรวจเรียก “ตู้” กวดขันสถานบันเทิง ธุรกิจกลางคืนไม่ให้ฝ่าฝืนกฎหมาย

อย่างผับลับคนจีนแห่งนี้ เป็นการข่าวของบิ๊กจ้าว หลังนั่ง ผบช.น.หมาดๆ แล้วส่งข้อมูลให้ทีมสืบสวนนครบาลใช้เวลา 10 กว่าวัน ก่อนบุกจับกุม 26 ตุลาคม 2565

ดังนั้น เมื่อวิถี “น.1” เป็นอย่างนี้ อาจทำให้นักธุรกิจบางกลุ่มขัดใจ เสียผลประโยชน์

ประกอบกับช่วงนี้มีการแต่งตั้งโยกย้าย พื้นที่นครบาล ถือเป็นทำเลทอง ทรงอย่าง “บิ๊กจ้าว” ขอยาก ด้วยความที่บุคลิกเป็นคนแข็ง

เพราะฉะนั้น ถ้ากำจัดให้พ้นเก้าอี้แม่ทัพนครบาลได้ แล้วเอาคนใหม่ที่มาคุม พูดจาภาษาเดียวกัน ทั้งการจัดวางลูกน้องคนตัวเองในทำเลทองเมืองกรุง ทำได้สะดวกโยธินขึ้นหรือไม่

 

มีคนฟันธงว่า หลังโผรอง ผบก.-ผกก.คลอด รับรอง กระแสดิสเครดิต ผบช.น.เงียบลง

งานนี้ “บิ๊กจ้าว” ก็ต้องพิสูจน์ฝีมือ ในฐานะเป็นแม่ทัพคุมเมืองหลวง ถ้าเป็น “น้ำดี” สมคำร่ำลือย่อมไม่ครั่นคราม เหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟ

ขณะเดียวกัน ถ้าใครเป็นของปลอม ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง พวกพ้อง ไม่นึกถึงประเทศชาติ ยุคนี้กรรมติดจรวดอยู่แล้ว