‘บิ๊กป้อม’ โดดเดี่ยว กรณีอธิบดี ‘ฝนหลวง’ ‘2 ป.’ แยกทาง กับปฏิบัติการ ‘ลูบคม’ พี่ใหญ่

‘บิ๊กป้อม’ โดดเดี่ยว กรณีอธิบดี ‘ฝนหลวง’ ‘2 ป.’ แยกทาง กับปฏิบัติการ ‘ลูบคม’ พี่ใหญ่ สะเทือนทำเนียบร้าว จับตาหลัง ‘บิ๊กบี้’ เปลี่ยนไป

 

ปรากฏการณ์ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ส่งท้ายปี 2565 เป็นการสะท้อนให้เห็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” อย่างชัดเจนมากขึ้น แม้จะอยู่ด้วยกันมา 40-50 ปีก็ตาม

แต่ในที่สุด เกมการเมืองและเกมแห่งอำนาจ ก็ทำให้พี่น้องที่ถือว่าแนบแน่นยาวนาน ยิ่งมีรอยร้าวที่ลึกขึ้นทุกวัน แม้ความเป็นพี่น้องยังคงอยู่ก็ตาม

โดยเฉพาะเมื่อแยกวง แยกทาง แยกพรรคกันเช่นนี้

การที่บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย น้องรองใน 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ เบรกพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลางที่ประชุม ครม. ในขณะที่ พล.อ.ประวิตรกำลังโต้แย้งกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องอำนาจในการแต่งตั้งอธิบดีกรมฝนหลวง

เพราะนายสุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรฯ จากกลุ่มปากน้ำ พรรคพลังประชารัฐ คัดค้านชื่อที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ รมว.เกษตรฯ เสนอ แต่ พล.อ.ประวิตรระบุว่าเป็นโควต้าของพรรคพลังประชารัฐ

จน พล.อ.อนุพงษ์ออกความเห็นว่า ที่ประชุม ครม.เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรต้องระวัง ไม่ควรยกเรื่องโควต้าพรรคมาพูดกัน และตามกฎหมายผู้มีอำนาจแต่งตั้งอธิบดี คือ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ

จนนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พูดสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ว่า เมื่อมีการแบ่งงานกันแล้วก็ควรให้เกียรติ รมช.เกษตรฯ ที่กำกับดูแล ส่วนนายจุรินทร์ยังยืนยันหลักการว่า เป็นสิทธิของรัฐมนตรีว่าการ

ท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ในครั้งนี้ ถูกมองว่า เป็นดัชนีชี้วัดรอยร้าวระหว่างพี่ใหญ่และน้องรอง ที่ปริแตกมากขึ้น รอบหน้าจะพูดตามหลักการ แต่ก็เป็นการโต้แย้งกับคำพูดของ พล.อ.ประวิตร

3ป

แม้หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.อ.อนุพงษ์พยายามจะมาชี้แจงอธิบายและเกาะแขน พล.อ.ประวิตร เหมือนจะอธิบายและง้อก็ตาม

แต่ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ทหาร ถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. พี่มาถึงจุดนี้เพราะเกมการเมืองและการอำนาจหรือไม่

เพราะไม่ใช่แค่ระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ กับ พล.อ.ประวิตร เท่านั้น แต่ในวันนั้น นอกรอบยังมีช็อตที่ พล.อ.ประวิตรสลัดแขนออกจากมือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พยายามจะเกาะแกะพี่ใหญ่เช่นที่เคย

เนื่องจาก พล.อ.ประวิตรรู้ดีว่า ใน 3 ป.ตอนนี้ เหลือตนเองเพียงลำพัง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ จับมือกันไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แม้ พล.อ.อนุพงษ์จะไม่ออกหน้า แต่ก็จะไปช่วย พล.อ.ประยุทธ์อย่างเต็มตัวอยู่เบื้องหลัง

จนทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร กลายเป็นคู่แข่งในทางการเมือง และเป็นการวัดศักดิ์ศรีของพี่น้องว่าใครจะได้ ส.ส.มากกว่ากัน จะประสบความสำเร็จในทางการเมืองมากกว่ากัน และอาจถึงขั้นต้องชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกันเลยทีเดียว

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ก็อ้างเหตุผลที่ว่าพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อหัวหน้าพรรคคือ พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพียงคนเดียว จึงทำให้ตนเองตัดสินใจที่จะรับเทียบเชิญของพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรเองจะยังไม่เคยพูดในประเด็นนี้เลยว่า จะยอมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพียงคนเดียวหรือไม่ แม้นักข่าวจะตามถามอยู่หลายวันก็ตาม

เป็นที่รู้ดีว่า ในบรรดาพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” นั้น พล.อ.อนุพงษ์จะสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า เพราะอยู่ ร.21 รอ.ด้วยกันมานาน กว่าที่อยู่กับ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่

เรียกได้ว่า เป็นเลือดแท้ของทหารเสือราชินีมาด้วยกัน เติบโตจนเป็นผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม ร.21 รอ. ต่อเนื่องกันมา

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรไม่ได้เป็นผู้บังคับกองพันใน ร.21 รอ. แต่เจอการเมืองในหน่วย ต้องย้ายไปโตที่ ร.12 รอ. และ ร.2 รอ. ที่สระแก้ว ปราจีนบุรี กลายเป็นกลุ่มบูรพาพยัคฆ์

ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชื่อว่าเป็นสายตรงของ พ.ท.ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช ผู้บังคับกองพัน ที่ทั้งคู่ให้ความเคารพรักอย่างมาก

โดยในเวลานั้น พ.ท.ณรงค์เดช เตรียมทหารรุ่น 8 กับ พล.อ.ประวิตร เตรียมทหารรุ่น 6 ก็เป็นคู่แข่งกันในที แต่ พ.ท.ณรงค์เดชมีพลังภายในมากกว่า พล.อ.ประวิตรจึงไม่ได้เติบโตใน ร.21 รอ.

ต่อมาเมื่อ พ.ท.ณรงค์เดชเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพร่างกาย พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ก็กลับมาเป็นน้องรักของ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ตามเดิม และก็ช่วยกันหนุนเนื่องสนับสนุนให้เติบโตในกองทัพมาตลอด

แต่เรื่องราวในอดีต เรื่องเล่าของทหารเสือราชินีเช่นนี้ก็ยังคงคาใจกันเองในหมู่พี่น้อง 3 ป. โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรในยามที่ พล.อ.อนุพงษ์เลือกข้างไปอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์

สถานการณ์ความสัมพันธ์นี้เองที่จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองยิ่งเข้มคนมากขึ้นเพราะไม่ใช่เป็นการแข่งขันระหว่างพี่น้อง 3 ป. กับพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ฝ่ายค้าน แต่พี่น้อง 3 ป.ต้องแข่งกันเอง

หมู่ทหารเป็นที่รู้กันว่า ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่หรือน้องที่รักใคร่สนิทสนมกันมากเพียงใด เมื่อใดที่เกิดปัญหาความขัดแย้ง ก็อาจจะกลายเป็นศัตรูคู่แข่งกันไปได้ โดยเฉพาะในเกมการเมืองและเกมชิงอำนาจเช่นนี้ เพราะในอดีตก็มีบทเรียนมาแล้วในการต่อสู้กันเองของสายเลือดทหารศิษย์เก่า จปร.

จนทำให้กองทัพถูกจับตามองในเรื่องการวางตัวและจุดยืนท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่จะเข้มข้นและปัญหาของพี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ จากที่เคยรวมกันเป็นหนึ่ง แต่วันนี้แยกทางแยกพรรค และมีรอยร้าวเกิดขึ้น ที่จะทำให้น้องๆ ในกองทัพลำบากใจกัน ว่าจะต้องเลือกข้างด้วยหรือไม่

ส่งผลให้เหล่าทัพใหญ่ อย่างกองทัพบก ที่มีอำนาจแฝงในทางการเมืองมาโดยตลอด ยิ่งถูกจับตามอง

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

โดยเฉพาะบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. จะเกษียณในกันยายน ปี 2566 และจะมีการตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องพยายามผลักดันบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รอง ผบ.ทบ.คอแดง น้องรักสายทหารเสือฯ ขึ้นเป็นคนต่อไป เพื่อเป็นกองหนุนหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ขณะที่ก็เกิดข่าวสะพัดว่า บิ๊กโต พล.อ.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง ผช.ผบ.ทบ. สายบูรพาพยัคฆ์ คอแดง ที่เป็นสายตรง พล.อ.ประวิตรด้วยก็มาแรง ที่จะทำให้บรรยากาศในกองทัพบกเข้มข้นไปด้วยเช่นกัน

ขณะที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง เพราะจากที่ไม่ค่อยออกสื่อ ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ ก็กลับมาเปิดตัวเองกับนักข่าวมากขึ้น ทั้งการให้สัมภาษณ์บ่อยครั้งขึ้น และมาพบปะสื่อ เยี่ยมห้องนักข่าวที่ บก.ทบ. และคุยนอกรอบแบบไม่เป็นข่าว ไม่ออกข่าว อันเป็นการสะท้อนถึงการเริ่มมีความไว้วางใจสื่อมากขึ้น จนเรียกว่าเป็นนักข่าวสายกองทัพบก

ถึงขั้นที่ชวนนักข่าวไปทำข่าวภารกิจทหารที่ชายแดน หรือเมื่อ ผบ.ทบ.เดินทางไปตรวจเยี่ยมกำลังพลตามกองกำลังชายแดนทั่วประเทศ

เพราะช่วงก่อนโควิด พล.อ.ณรงค์พันธ์เคยให้นโยบายทีมโฆษก ทบ.ไว้แล้ว ในการให้พานักข่าวสายทหาร ลงพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่สื่อต้องการจะไป แต่แผนนี้ก็พับไปในช่วงโควิด

“ในอุดมคติของผม ในความคิดของผม นักข่าวสายทหาร คือนักข่าวที่ติดตามภารกิจให้ทหารเป็นหลัก โดยเฉพาะที่เขาไปเสี่ยงชีวิตที่ชายแดนรอบบ้าน และชายแดนภาคใต้ รวมทั้งชายแดนภาคเหนือ เช่นที่ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษ ที่กำลังต่อสู้กับยาเสพติดมหาศาล ลูกน้องเรามีความเสี่ยง ผมจึงต้องไปเยี่ยม ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาที่ชายแดนเป็นระยะๆ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ ที่เขาไม่ได้กลับบ้าน ต้องอยู่ดูแลชายแดน”

สำหรับผม ในฐานะ ผบ.ทบ. ก็อยากให้ประเทศชาติมีความสงบ ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ผาสุก ทำมาหากินได้

ที่ผ่านมา การที่ผมไม่ค่อยให้สัมภาษณ์เพราะผมจะตอบในสิ่งที่ผมรับผิดชอบเท่านั้น เพราะการจะพูดอะไร ต้องมีความรู้ ต้องเข้าใจว่า บางทีทำไมผมไม่พูด ไม่ตอบ เพราะถ้านอกเหนือจากความรับผิดชอบของผม ผมจะไม่พูด ผมก็เป็นแบบนี้ ถ้าจะพูดก็พูดในกรอบของเรา เราจะไปตำหนิคนนั้นคนนี้ในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ทุกอย่างต้องพิสูจน์กันด้วยข้อเท็จจริงให้ถึงที่สุด ทุกคนพยายามทำหน้าที่ของตัวเอง

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเป็นปีสุดท้ายของตำแหน่ง ผบ.ทบ. ที่นั่งมาเป็นปีที่ 3 และจะเกษียณ 30 กันยายน 2566 จึงไม่เกร็งกับการเป็น ผบ.ทบ.ที่เป็นทหารคอแดง แถมยังเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ. อีกด้วย

“ผมไม่มีปัญหาอะไรกับนักข่าวนะ ผมพยายามสื่อสารว่า ในหน้าที่ของผม ความรับผิดชอบของผม ผมเป็นคนแบบนี้ ผมเป็นของผมแบบนี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์อธิบายเหตุผลที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ รวมทั้งไม่ค่อยเปิด บก.ทบ.ให้นักข่าวมาทำข่าว เพราะไม่อยากเจอ เพราะไม่อยากโดนถามเรื่องการเมือง และเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร ที่มักจะโดนถามเป็นระยะๆ

นี่เป็นเหตุผลที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ระบุว่า จึงตั้งทีมโฆษก ทบ. ที่เป็นทหารหญิงหลายคน และเป็นคนที่มีความรู้ ความเข้าใจ ไม่ใช่เอาพวกไม่รู้ รู้แต่เรื่องเสนาธิการอย่างเดียว จะรบอย่างเดียว

“จากนี้ เราคงได้ทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น ในเรื่องภารกิจของกองทัพ แต่เรื่องแจก iD ไลน์ ขอเอาไว้ก่อน เพราะเพิ่งเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือใหม่ ยังไม่เข้าที่” พล.อ.ณรงค์พันธ์เปรย

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า เหตุที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ต้องเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ ก็เพราะได้รับแจ้งจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่า หมายเลขที่ใช้อยู่ ถูกแฮ็ก โดยเป็น 1 ใน 60 หมายเลขที่เป็นระดับคนสำคัญที่ถูกแฮ็ก ที่คาดว่าจะถูกแฮ็กที่แอพพลิเคชั่นไลน์ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นฝึมือของใคร หวังผลใด

เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะระดับ ผบ.ทบ. ที่เป็นหมายเลข 1 ของสายความมั่นคง ในส่วนของ ทบ. ซึ่งเป็นเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุด แต่ถูกแฮ็กโทรศัพท์มือถือ

แม้จะมีกระแสข่าวว่า ปลายทางของแฮ็กเกอร์ อาจจะอยู่ในต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน แต่ทว่า ก็ไม่น่าจะมีแรงจูงใจใดที่จะต้องล้วงข้อมูลในมือถือของ ผบ.ทบ. จนเกิดข่าวลือตามมาว่า เป็นเรื่องความมั่นคงภายในประเทศหรือไม่

สำหรับประเทศไทย ที่การเมืองยังไร้เสถียรภาพ ก็มักจะเกิดกระแสข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหารเป็นระยะๆ หรือมักมีความหวาดระแวงว่า อาจเกิดการรัฐประหารขึ้นได้

แต่สำหรับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ นั้นยืนยันตลอดว่า ในหัวมีแต่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน คิดแค่นี้ ไม่เคยคิดเรื่องการรัฐประหาร และมองว่า ในยุคนี้ โอกาสในการเกิดรัฐประหาร เท่ากับศูนย์ หรือติดลบ เลยด้วยซ้ำไป

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ยังดำรงตำแหน่ง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่คุมทหารคอแดงในส่วนของ ฉก.ทม.รอ.904 ในส่วนของ ทบ.อีกด้วย

พล.อ.ณรงค์พันธ์จึงมีม็อตโต้ว่า “พิทักษ์ราชัน ปกป้องประชา รักษาแผ่นดิน” และมักจะเรียกทหารว่า “ทหารพระราชา” เพราะถือเป็นนายทหารสายรอยัลลิสต์ ผู้จงรักภักดีคนสำคัญเลยทีเดียว

แต่ม็อตโต้ส่วนตัวยังคงเป็น “บี้ อดทน” เพราะยึดคติที่ว่า เป็นทหารต้องอดทนในทุกเรื่อง และยึดหน้าที่เป็นหลัก ยืนยันว่าจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร

ท่ามกลางการจับตามองบทบาท ผบ.ทบ.คนนี้ จากนี้ไป ไปจนถึงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง ว่าจะทำให้มีอะไรต้องลุ้นหรือไม่