คุยกับ ‘มายด์ ภัสราวลี’ | ความฝัน ความหวัง และสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

ความฝัน ความหวังและสายลมการเปลี่ยนแปลง

‘มายด์ ภัสราวลี’อีกหนึ่ง Gen ใหม่บนปก ‘มติชนสุดสัปดาห์’

 

“การต่อสู้ในปีนี้ เราพูดกันตามตรงว่า ถ้าเปรียบเทียบกับปีที่แล้วกระแสย่อมไม่เท่ากับปี 2563 เราดูกันตามความเป็นจริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการระบาดของ covid ด้วย ประเทศเราเจอปัญหาระลอกใหม่ๆ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มาจนถึงระลอกที่ 3 ในปีนี้มันทำให้ช่วงจังหวะในการต่อสู้มันสะดุดไป การทำกิจกรรมดำเนินไปไม่ได้อย่างเต็มที่ ยิ่งมีเรื่องของการถูกจับ การติดเงื่อนไขของการประกันตัว ยิ่งทำให้ต้องออกแบบการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม ให้มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้นในการแสดงออก”

คือคำกล่าวมายด์-ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล แกนนำเยาวชนที่เคยขึ้นปก “มติชนสุดสัปดาห์” ในปีที่ 41 ฉบับ 30 ตุลาคม 2563 ปรากฏว่าเป็นปกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เราจึงกลับไปคุยกับเธอในวันนี้

มายด์บอกว่า จากสภาพที่ประชาชนต้องอดทนเจอ ทั้งการบริหารงานของรัฐบาลที่จัดการโควิดไม่ได้ และเรื่องของการใช้อำนาจทางกฎหมายในการปิดปากประชาชน มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำเหมือนให้การชุมนุมมันต้อง Drop ลงไปจากปีก่อนๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้วความรู้สึกของคนมันยังอยู่ และกลับกลายเป็นว่าคนไทยยิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจับกุมในแต่ละครั้ง ทำให้หลายคนคิดและรู้สึกว่า ทำไมต้องมีการจับอีกแล้ว เอาแกนนำเข้าไปอีกแล้ว นักศึกษาถูกขังอีกแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันพ่วงมาด้วยความสะสมอึดอัดข้างในใจ ประชาชนตั้งคำถามว่าไปจับเขาทำไม เขาแค่ออกมาพูด คือทุกอย่างมันค่อนข้างชัดเจนและปรากฏให้สังคมเห็นแล้วว่าคนที่เขาออกมาพูด เขามีเจตนาอย่างไร มีลักษณะการสื่อสารเป็นอย่างไร การถูกจับกุมคุมขัง มันสมควรแก่เหตุหรือไม่

เรื่องตรงนี้มันค่อนข้างชัดเจนจนประชาชนเองเข้าใจ จนทำให้รู้สึกว่าไม่ถูกต้องและเขากำลังอึดอัดสะสม

จนความอึดอัดตรงนี้นานวันเข้าเรื่อยๆ หากยังปล่อยให้เป็นสภาวะแบบนี้ มันจะยิ่งอันตรายมากกว่าด้วยซ้ำ

 

มายด์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาผู้มีอำนาจชอบกดทับ ทำให้เกิดความรู้สึกชาชิน แต่อยากจะถามว่า จะชินได้สักเท่าไหร่กันเชียว

มันจะทำให้ชินตลอดไปไม่ได้หรอก ยิ่งเป็นเรื่องที่มันคาใจ ค้านต่อจิตสำนึกของประชาชน มันยิ่งทำใจไม่ได้ การจะไปจับขังเรื่อยๆ ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะค้านกับจิตสำนึกด้านสิทธิมนุษยชนของแต่ละคน ในยุคสมัยนี้จะยิ่งไม่มีความชินชา และกลับมีคำถามมากขึ้นไปใหญ่ว่า ไปจับพวกเขาทำไม ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแค่เด็กนักศึกษา ก็เป็นเพียงแค่วัยรุ่นคนหนึ่งที่อยากจะเห็นประเทศนี้ดีขึ้น แต่ทำไมต้องถูกจับอีกแล้ว

เรื่องพวกนี้มันทำให้เราไม่อยากจะชิน ถึงแม้ว่าเขาพยายามจะทำให้เรารู้สึกชินแค่ไหนก็ตาม ประชาชนจะยิ่งตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ

จนวันหนึ่งคำถามเหล่านั้นมันถึงจุดอิ่มตัว เมื่อคำถามทุกคนคิดมันสุกงอมมากพอ ก็จะทำให้เกิดการแสดงออกบางอย่างที่ไม่อยู่แค่การตั้งคำถามแล้ว เช่นเดียวกันกับเรื่อง 112 กับการปฏิรูปสถาบันนั่นแหละ

มายด์ยอมรับว่าการจับกุมคุมขัง ส่วนหนึ่งส่งผลต่อความห่อเหี่ยวจิตใจ และคิดว่าทำไมเพื่อนเราถึงถูกจับเรื่อยๆ ทำไมออกมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลับเข้าไปอีกแล้ว สู้คดีก็ได้ไม่เต็มที่ สู้บนท้องถนนก็ไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าความห่อเหี่ยวทางจิตใจนี้มันเป็นช่วงหนึ่งที่ทำให้เรายังนึกถึงคนข้างในอยู่ เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้นึกถึงเขาจนเสมือนเป็นแรงผลักดันในทางบวก กดดันต่อสู้กับสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง

ในเมื่อคนที่อยู่ข้างในเขาพูดไม่ได้ แล้วพวกเราที่อยู่กันข้างนอก เราสู้ได้ และเราต้องทำต่อ ทำให้เต็มที่ เพื่อให้ประเทศนี้มันดีขึ้นกว่าเดิม และอีกส่วนหนึ่งทำให้เพื่อนเราอย่างน้อยที่เสียสละตัวเอง เสียสละอิสรภาพของตัวเองเพื่อให้ประเทศนี้มันดีขึ้น การเสียสละของพวกเขาจะต้องไม่สูญเปล่า

ส่วนตัวเราเอง แน่นอนก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจตั้งแต่วันแรกที่เลือกก้าวออกมาประจันหน้ากับรัฐบาลและเลือกที่จะยืนต่อสู้กับปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย รู้เลยว่ามันจำเป็นที่เราจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมต่อสถานการณ์ทุกอย่างที่จะต้องเกิดขึ้น

เพราะเราไม่รู้ว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรกับเราบ้าง ไม่รู้ว่าจะเล่นแง่ไหน การดำเนินคดีคงเป็นเรื่องหลักอยู่แล้วที่รัฐบาลหยิบมาปิดปากเรา

เมื่อเรารู้อย่างนี้ เราเห็นว่าตัวบทกฎหมายบางตัวถูกบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรม เราในฐานะประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องออกมาต่อสู้ในเรื่องพวกนี้ พูดถึงตัวบทกฎหมายไม่ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ กฎหมายที่รัฐบาลบังคับใช้อยู่ทุกหมวดทุกมาตราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ สามารถที่จะแก้ไขได้ จะยกเลิกเลยก็ได้ถ้าหากมีความต้องการเป็นฉันทามติของประชาชน

กฎหมายใดที่เรามองแล้วว่ามันถูกบังคับใช้โดยทำให้กลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการมันก็ไม่ควรที่จะต้องไปยอมรับ แล้วมันก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่เราจะต้องต่อสู้ด้วยเหมือนกัน ว่ากฎหมายที่ไม่ถูกต้องก็ต้องเปลี่ยนต้องแก้ไข และเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องให้เกิดการแก้ไข

ซึ่งตรงนี้มันเป็นวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วที่ประชาชนต้องมีสิทธิ์มีเสียงในการบอกกล่าว

สําหรับการถอดบทเรียนเพื่อต่อสู้เรียกร้องในปีหน้า มายด์บอกว่า อย่างแรกเราต้องไม่ย่อท้อ เราต้องไม่รู้สึกว่าเอาอีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว เหนื่อยแล้ว พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เพราะเผด็จการไม่มีวันลดละความพยายามในการที่อยากจะควบคุมอำนาจ

ดังนั้น เราก็ไม่ควรที่จะลดละความพยายามในการทวงคืนอำนาจของเรา

มันมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำหน้าที่พลเมืองไทยให้ดี คอยสอดส่องการทำงานของรัฐบาลอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าวันหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปแล้วจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เราก็ยังต้องทำหน้าที่นี้อยู่เสมอ

ซึ่งการต่อสู้ในปีหน้าถ้าหากรัฐบาลประยุทธ์ยังยืนยันที่จะยืนหยัดอยู่แบบนี้ ยังคงมีรัฐธรรมนูญ 2560 อยู่แบบนี้ ยังคงมีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างต่อเนื่องแบบนี้ ยังไงกระแสก็ต้องปะทุขึ้น อุณหภูมิทางการเมืองต้องร้อนแรงขึ้น

ถ้าหากรัฐบาลไม่รู้จักผ่อนปรนอะไรเลย ไม่พยายามลดละอำนาจตัวเอง คืนอำนาจให้ประชาชนบ้าง ถ้าไม่ทำ ยังไงปีหน้ามันก็คงถึงจุดหนึ่งที่ความอึดอัดใจมันจะปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากถูกกลบด้วยโควิด แถมมีตัวเร่งปฏิกิริยาก็คือการทำงานของรัฐบาลเองด้วยซ้ำ ทำให้ประชาชนอยากจะลุกฮือขึ้นมาต่อสู้มากขึ้นไปอีก หลังจากเปิดประเทศ คนจะเริ่มฟื้น พอประชาชนดูแลตัวเองได้ ก็กลับมาต่อสู้กันใหม่ได้

ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าสังคมไทยมันมีโครงสร้างที่ซับซ้อน เมื่อเราพูดถึงคำว่า “เผด็จการ” มันไม่ใช่แค่ทหาร มันซับซ้อนกว่านั้นมาก ทำให้ผู้มีอำนาจบางคนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับอำนาจที่ฝังลึกคู่กับประเทศไทยยาวนานก็ยังฝังอยู่และยังมีอำนาจอยู่เต็มเปี่ยม แม้กระทั่งทหารที่อยู่ในตำแหน่งก็รู้ดี และพร้อมจะทำตาม

พอพูดถึงสภาวะการเมืองไทยมันซับซ้อน พอเป็นแบบนี้เราต้องยิ่งมีพื้นที่พูดคุยกันให้ได้มากที่สุด ว่าเราจะหาจุดร่วมยังไง เดินหน้าประเทศกันต่อได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้ามันไม่มีพื้นที่ แล้วมีตัวล็อกบางอย่างทำให้ประชาชนไม่สามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมและเปิดกว้าง คิดว่ายังไงก็ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้จริงๆ มันก็จะคาราคาซังอยู่แบบนี้

เราจะไม่สามารถพูดถึง “ใจความของปัญหา” ได้เลย เราจะไม่สามารถแก้ไขมันได้อย่างจริงจัง เพราะแค่การพูดยังพูดไม่ได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม มายด์ยังเชื่อว่าความหวังมีเสมอ เพราะเราเห็นคนในสังคมวันนี้ที่ไม่เฉพาะแค่คนรุ่นใหม่ ณ ตอนนี้ทุก Generation มีส่วนร่วมในการแสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองในยุคนี้กันหมดเลยทุกช่วงวัย เราได้เห็นประชาชนคนไทยตื่นตัวมากขึ้น

มันก็คือความหวัง และคิดว่าประชาชนไม่สามารถมองข้ามปัญหาจริงไปได้อีกแล้ว สภาวะทางการเมืองไทยมันถึงคราวที่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่จริงๆ เสียที ไม่งั้นมันจะถึงจุดแตกหัก ถ้าหากรัฐบาลยังคงที่จะลิดรอน บั่นทอนความเป็นประชาธิปไตยอยู่แบบนี้ ถึงวันนั้นก็คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

ยิ่งการไล่จับคนไปเรื่อยๆ ส่วนตัวมองว่าจะยิ่งส่งผลต่อกการกระตุ้นให้เกิด “ดาวดวงใหม่”

คดีความอาจจะทำให้หลายคนอาจจะรู้สึกเหนื่อยล้าในการที่จะไปศาล อัยการ ไปรายงานตัว หรือมีความหวาดกลัวบ้าง แต่นี่คือความไม่ถูกต้องที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบ

ตอนนี้หลายคนที่ตื่นตัวเขาทนไม่ได้กับความไม่ถูกต้องเหล่านี้ และเขาก็จะตั้งคำถามเสมอว่าทำไมเขาต้องทน

นี่แหละที่จะทำให้เกิดดาวดวงใหม่ อาจจะเกิดขึ้นเป็นร้อยดวง พันดวง และกระทั่งล้านดวง

ช่วงนี้ทุกคนอาจจะรออยู่ว่าจะได้ออกมาเฉิดฉายเมื่อไหร่ ก็เชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นดาวได้หมด ถ้ากล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและเห็น และอยากจะเรียกร้องสังคมให้ดีกว่านั้น

ไม่กี่วันที่ผ่านมา เพิ่งครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์ที่เราไปต่อสู้เรียกร้องหน้าสถานทูตเยอรมนี มาถึงวันนี้ 1 ปี ชีวิตในขั้นพื้นฐานก็ยังคงปกติเหมือนเดิม ยังคงต้องเรียน ยังเรียกร้องรัฐบาล แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมในชีวิตหนูกลายเป็นคนที่ต้องไปศาลบ่อยขึ้น ไปอัยการบ่อยขึ้น พบตำรวจมากขึ้น ชีวิตไม่เหมือนเดิม แต่หนูเข้าใจได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างถูกสั่งให้ทำสิ่งที่มันผิด คือมีนโยบายและผู้ที่สั่งลงมา

วันนี้แม้ว่าชีวิตเราจะมีสิ่งที่มันเปลี่ยนไปคือความยุ่งยากในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามองภาพรวมว่าสิ่งที่เราต่อสู้ด้วยมันยังคงอยู่ มันจะน่าอึดอัดมากกว่านี้ มันทำให้เรารู้สึกอยู่เฉยๆ ไม่ได้ และเชื่อว่าไม่มีแผนการใดๆ ใช้ได้ตลอดไป หรือจะได้ผลเวิร์ก รัฐบาลอาจจะกดให้เงียบได้ช่วงระยะหนึ่ง แต่ว่ามันไม่เวิร์กในระยะยาว หลังจากนั้นพวกเขาจะทำยังไงต่อ เพราะถ้าประชาชนระเบิดแล้วมันยากที่จะควบคุม

หากรัฐบาลยังจะกดแบบนี้ต่อไปจนวันหนึ่งระเบิดออกมาแน่

และสิ่งเหล่านี้มันน่ากลัวกับรัฐบาลมากกว่าด้วย

 

ชีวิต 1 ปีที่ผ่านมาของ “มายด์” แม้จะถูกคุกคามตามติดบ้าง แต่เธอบอกว่ายังน้อยกว่าเพื่อนๆ หลายคนที่โดนหนัก

ของเรามีตำรวจชอบเอาหมายมาให้ที่บ้านตอนดึก (ทั้งที่ส่งไปรษณีย์ได้) แต่กลับมีการเข้าไปพูดคุยกับที่บ้านเรา ไปถามเรื่องส่วนตัวกับคนในครอบครัว ทั้งที่หนูไม่ได้เป็นคนที่หลบซ่อนอะไร ตำรวจสามารถเข้ามาหาได้เจอได้

แต่มันน่าเกลียดมาก เขาใช้วิธีในการไปคุยกับคนในครอบครัวและไปสร้างความกลัวให้กับครอบครัวเรา เหมือนกับว่าสิ่งที่เราเรียกร้องเป็นความผิดร้ายแรงมาก เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ทั้งที่คุณกำลังคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ใช้ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหนูว่ามันเกินไปหน่อยที่ทำแบบนี้

แต่ยังยืนยันว่ากำลังใจจากครอบครัวค่อนข้างดี ทางบ้านเข้าใจระดับหนึ่งว่าสิ่งที่เรากำลังต่อสู้อยู่เราทำเพื่ออะไรและเพราะอะไร แต่ในความเป็นห่วงเขาก็ยังห่วงอยู่มาก

สุดท้ายมายด์เปิดใจว่าสนใจงานการเมือง และถ้าในอนาคตได้มีโอกาสเข้าไป มีพื้นที่ในการต่อสู้เพิ่มเติมในรัฐสภาหรือปรับเปลี่ยนอะไรได้ ในเชิงการปรับเปลี่ยนที่เป็นรูปธรรม ก็คิดว่าอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมตรงนี้เหมือนกัน เพราะการต่อสู้มันไม่ได้จำกัดหรือสามารถเกิดขึ้นได้แค่เพียงท้องถนนเท่านั้น

การต่อสู้ทางการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรมันจำเป็นต้องมีรัฐสภาในการรองรับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ให้เป็นรูปธรรม ที่ต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภา

ดังนั้น หากมีคนอย่างรุ่นของพวกหนูเข้าไปอยู่ในสภากันมากๆ สภาจะเปลี่ยนไป การเมืองจะไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ส่วนบุคคล แต่จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ประชาชน ของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

พื้นที่ในรัฐสภาจะเป็นพื้นที่เพื่อการถกเถียงให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและทำเพื่อประชาชน