บทวิเคราะห์ : จับตา “บิ๊กฉัตร” ผู้ที่จะไปต่อ ถ้า “เพื่อนตู่” จะอยู่เป็นนายกฯ อีก หลังเลือกตั้ง

การปรับเปลี่ยนตำแหน่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2560 เป็นเสมือนการถ่ายเลือด เอาผู้ที่มีประสบการณ์จริงในการแก้ไขปัญหาเป็นเข้ามาทำงาน นั่นก็เพราะรัฐบาลของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีเวลามารีรอ ลองผิดลองถูกอีกแล้ว

เพราะการปรับ ครม. ครั้งนั้น ถือเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. และจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้ากุมหน้ากุมตาทำงาน พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ พร้อมกับวางแผนในเกมการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเวลาไม่ช้านี้ คาดว่าคงอยู่ในปี 2562

ก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมี “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ นั่งเป็นเสนาบดี ไม่สามารถขับเคลื่อนงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับกระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ ที่อยู่ในการดูแลของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพราะมีปัญหาในวิธีคิดที่ไม่เหมือนกันระหว่างพลเรือนกับทหาร

เวลานั้น คนกลางอย่าง “บิ๊กตู่” จึงแก้ไขปัญหาด้วยการให้กระทรวงเกษตรฯ ของ “บิ๊กฉัตร” มาอยู่ในความดูแลของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับทีมของนายสมคิด

เมื่อจะมีการปรับ ครม. ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2560 หลายคนคาดว่า “บิ๊กฉัตร” จะถูกโยกให้ไปนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แทน “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ที่ชิงลาออกเนื่องจากไม่พอใจที่ “บิ๊กตู่” ใช้อำนาจมาตรา 44 เปลี่ยนตัวอธิบดีกรมการจัดหางาน เพราะเวลานั้น ในกระทรวงเกษตรฯ ก็มีเรื่องร้อนๆ ของการใช้งบประมาณในโครงการใหญ่ ซึ่งถูกมองว่าไม่เป็นประโยชน์ ซ้ำยังมีการทุจริตในหลายพื้นที่ และในฐานะที่ “บิ๊กฉัตร” เป็นรัฐมนตรี จึงจะหลีกหนีความรับผิดชอบไม่ได้

ครั้งนั้น พล.อ.ฉัตรชัย ยืนยันว่า ไม่กังวลจะถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่ง พร้อมเสมอ ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจแบบไหนก็ตาม กระนั้นเขาก็ย้ำถึงความเป็นเพื่อนหลายครั้ง

เช่นว่า “ตอนเป็นทหาร หลังเกษียณก็เดินคุยกับนายกฯ ว่าอยากไปเที่ยวกัน นายกฯ เป็นคนเขียนแผนว่าอยากไปนู่นไปนี่ แต่ต่อมาก็ฉีกทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ได้ไปแล้ว”

ต่อมาปรากฏว่า “บิ๊กฉัตร” ได้นั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบคุมดูแล 2 กระทรวงได้แก่ 1.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 2.กระทรวงสาธารณสุข เป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าใครเข้ามานั่ง ก็ย่อมจะถูกลืม

ลืมเพราะเป็นแค่คนดูแลนโยบายกว้างๆ ในกระทรวงที่นานทีปีหนจะมีข่าวใหญ่ ลืมเพราะทิศทางการทำงานของกระทรวงถูกกำหนดโดยรัฐมนตรีไว้หมดแล้ว ส่วนรองนายกฯ มีหน้าที่แค่เข้าไปกำกับดูแล รับทราบผลการดำเนินงาน ก็เท่านั้น

ไม่เหมือนกับนายสมคิด ที่กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่เหมือนกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูแลงานด้านความมั่นคงทั้งหมด และไม่เหมือนกับ นายวิษณุ เครืองาน รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูงานด้านกฎหมายทั้งหมด

จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น นายยงยุทธ ยุทธวงษ์ หรือ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ซึ่งล้วนเคยนั่งในตำแหน่งนี้เช่นเดียวกับ พล.อ.ฉัตรชัย แม้มีที่ทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล อันเป็นศูนย์กลางอำนาจ แต่ต่างก็เป็นรัฐมนตรีโลกลืมด้วยกันทั้งสิ้น

“บิ๊กฉัตร” เองประจักษ์ในข้อนี้ดี

ทว่าการมาของ “บิ๊กฉัตร” กลับไม่เป็นเช่นนั้น

นอกจาก 2 กระทรวงข้างต้นที่ พล.อ.ฉัตรชัย รับไปกำกับดูแลแล้ว “บิ๊กตู่” ยังมอบหมายให้เพื่อนรักดูแลสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นใหม่ พร้อมกับช่วยดูแลแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย

“บิ๊กฉัตร” ยอมรับว่ากลัวสื่อทำเนียบ เพราะเมื่อตอนเป็นรัฐมนตรีเกษตรฯ มีบ่อยครั้งที่สื่อทำเนียบจี้ถามอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างจากที่กระทรวง ที่ผู้สื่อข่าวจะไม่ค่อยถามแบบจี้จู่โจมเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าสื่อทำเนียบนั้นน่ากลัวนัก

แต่หากเปรียบเทียบแล้ว ระหว่างสื่อทำเนียบกับงานไม่เดินหน้า “บิ๊กฉัตร” กลัวอย่างหลังมากกว่า แต่จะให้ดี ควรสลัดความกลัวแล้วเดินหน้าทำงาน

ดังนั้น เมื่อเริ่มก้าวเข้ามาทำงานในทำเนียบรัฐบาล จึงเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับสื่อ ด้วยการเปิดห้องให้สื่อได้สัมภาษณ์ มีการพบปะพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกันบ้าง เป็นครั้งคราว

“บิ๊กฉัตร” มีทีมงานประชาสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสื่อมวลชนมาก นั่นทำให้ง่ายต่อการนำเสนอผลงาน เพราะผู้ที่ใกล้ชิดกับสื่อมวลชน ย่อมจะเข้าใจว่าสื่อมวลชนต้องการอะไร และไม่ต้องการอะไร

เขาเดินหน้าทำงานพีอาร์เชิงรุก โดยไม่ต้องรอให้นักข่าวแสดงความสนใจก่อนค่อยตอบ ตรงกันข้าม เมื่อไหร่ก็ตามประชุมเสร็จ ทีมงานคุณภาพของเขาจะแจ้งสื่อในทันที พร้อมเปิดแถลงข่าวภายหลังการประชุม

จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นข่าว “บิ๊กฉัตร” ผ่านสื่อหลายรูปแบบอยู่บ่อยๆ

แม้จะนั่งอยู่ในเก้าอี้เสี่ยงโลกลืม แต่ “บิ๊กฉัตร” กลับไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น การมาของเขาต่างจากการอยู่ของนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ และ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เขาไม่ใช่รัฐมนตรีโลกลืม แต่กลับมีข่าวให้เห็นน่าค่าตาไม่เว้นแต่ละวัน

ถามว่าทำไมจึงต้องให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์มากมายขนาดนั้น คำตอบคือ “บิ๊กฉัตร” ได้รับบทเรียนจนแทบกระอักจากทีมพีอาร์ที่ไม่ทำงานเชิงรุกมาแล้ว เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีเกษตร

ตอนอยู่กระทรวงเกษตรฯ “บิ๊กฉัตร” เห็นว่าทีมประชาสัมพันธ์มีจุดอ่อน จึงทำให้ถูกโจมตีอย่างหนักจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นพืชผลการเกษตรตกต่ำ ชาวสวนยางพาราประท้วง รวมถึงโครงการใหญ่ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร หลายโครงการก็ถูกโจมตีความต่อเนื่อง

“ต้องยอมรับว่าการสื่อสารของเราไม่ดี ข้าราชการสื่อสารไม่เป็น เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ส่วนใหญ่ไม่ได้จบมาโดยตรง เราไม่มีทางสู้เอกชนได้ ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะของกระทรวง ที่ประชาสัมพันธ์ไม่ได้ แต่การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลก็ไม่ดีด้วยเช่นกัน และเป็นเหมือนกันทุกรัฐบาล สู้เอกชนไม่ได้หรอก” บิ๊กฉัตรตอบเสียงวิจารณ์ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ

ฉะนั้นแล้ว เมื่อต้องโยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มานั่งในตำแหน่งรองนายกฯ แม้จะเป็นตำแหน่งที่สูงกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบนั้น น้อยกว่ารัฐมนตรีเจ้ากระทรวงอยู่มาก

แต่ก็ถือว่าโชคดี เพราะนั่นเป็นเวลาประจวบเหมาะกับที่เขาได้มือดีเข้ามาช่วยงาน ใครคนนั้นเป็นมือดีที่ทำงานใกล้ชิดกับสื่อมวลชนมาก เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการประสานงาน แต่ผลออกมาดีเกินคาดหมาย

ฉะนั้น จงอย่าได้แปลกใจ ถ้าจะเห็นข่าว “บิ๊กฉัตร” อยู่บ่อยๆ

พล.อ.ฉัตรชัย เป็นเพื่อนร่วมเตรียมทหาร 12 (ตท.12) รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ เป็นเพื่อนในไม่กี่คนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชักชวนไปตีกอล์ฟในวันหยุด

“ช่วงที่รับราชการผมกับ พล.อ.ประยุทธ์ มีความฝันอยู่สองอย่างหากเกษียณ อย่างแรก ไปเล่นกอล์ฟที่ต่างประเทศ ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์เอาหนังสือกอล์ฟมาให้ดู แล้วบอกว่า เฮ้ย เดี๋ยวเกษียณพวกเราไปตีกอล์ฟที่นี่ดีกว่า มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนริเริ่มหมด

อย่างที่สอง ไปขี่ช้อปเปอร์ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์ มีชุดเสื้อหนังครบหมด บอกให้ผมไปหาซื้อชุดหนังมาใส่ด้วย ผมตัวเล็ก ท่านตัวใหญ่ ให้ผมไปขี่ช้อปเปอร์มันลำบาก ผมเลยบอกว่าท่านตัวใหญ่ขี่ช้อปเปอร์ ผมตัวเล็กขอขับ Lambretta (สกู๊ตเตอร์) สองอย่างนี้ คือสิ่งที่อยากทำหลังจบภารกิจโรดแม็ป” พล.อ.ฉัตรชัยเล่าถึงความสัมพันธ์ของเพื่อน (มติชน 28 มีนาคม 2561)

มีการวิเคราะห์ว่า ถ้า “บิ๊กตู่” เพื่อนรักจะเดินหน้าต่อในเส้นทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง “เพื่อนตู่” จะไม่มีทางเดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง และเพื่อนร่วมงานในเวลานี้คือตัวเลือกที่ดี ที่ “บิ๊กตู่” จะเชิญชวนเดินทางไปด้วยกัน

ส่วนจะเลือกใครบ้างนั้น เวลาและผลงานจะเป็นเครื่องมือสำคัญให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ในที่นี้ “บิ๊กฉัตร” คือหนึ่งในตัวเลือก เขาพร้อมไปต่อ ถ้า “บิ๊กตู่” ยังไม่อยากลงจากหลังเสือ เขาก็พร้อมอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนรักในสมรภูมิของการเป็นนักการเมือง

ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ให้ความสำคัญกับงานด้านประชาสัมพันธ์มากมายขนาดนี้