นงนุช สิงหเดชะ/”ทรัมป์” นักแบล๊กเมล์ในคราบ ปธน.

นิกกี้ เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็น

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

“ทรัมป์” นักแบล๊กเมล์ในคราบ ปธน.

ป่วนโลกได้ตั้งแต่หัวปียันท้ายปี 2560 สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีที่สร้างปัญหาให้กับสหรัฐและโลกมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เริ่มจากเมื่อแรกเข้ารับตำแหน่งก็ทำให้คนอเมริกันออกมาประท้วงอย่างอยู่นานแม้แต่ในวันทำพิธีสาบานตนยังถูกประท้วง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน

ถัดจากนั้นก็ออกไปท้าตีท้าต่อยนอกบ้านกับประเทศอื่นๆ แม้แต่ชาติพันธมิตรด้วยการขู่ว่าจะเล่นงานทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ สร้างความตึงเครียดและความไม่แน่นอนให้กับบรรยากาศการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจโลกอย่างมาก

พอมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2560 ทรัมป์ทำในสิ่งที่บ้าและสร้างความตึงเครียดให้กับโลกมากที่สุด ด้วยการประกาศรับรองให้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล พร้อมกับประกาศว่าสหรัฐจะย้ายสถานทูตจากเทลอาวีฟ (เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิสราเอล) ไปเยรูซาเลม

ถือว่าทำลายนโยบายต่างประเทศของสหรัฐที่ยึดถือมานาน และละเมิดมติสหประชาชาติ โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านทัดทานจากทั่วโลกที่ว่าจะทำลายกระบวนการสันติภาพตะวันออกกลางและจะทำให้สถานการณ์ขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์เลวร้ายลงไปอีกเพราะทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่านครเยรูซาเลมเป็นของตน

ดังนั้น การที่สหรัฐไปประกาศรับรองว่าเยรูซาเลมเป็นของอิสราเอลจึงเป็นการเข้าข้างอิสราเอล ซึ่งเป็นประเด็นเปราะบางเนื่องจากเกี่ยวพันกับศาสนา เพราะเยรูซาเลมเป็นที่ตั้งของศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของ 3 ศาสนาคือ คริสต์ อิสลาม และยูดาย (ศาสนายิว) ซึ่งเมื่อปี 2510 อิสราเอลได้ผนวกเขตอีสต์ของเยรูซาเลมเป็นดินแดนของตน แต่นานาชาติไม่ให้การรับรอง

การประกาศของทรัมป์ ก่อให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวางในประเทศมุสลิมและประณามการตัดสินใจของทรัมป์อย่างรุนแรง

ขณะที่เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้แถลงคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการโดยลำพังฝ่ายเดียวของสหรัฐ พร้อมกับเรียกประชุมฉุกเฉินเพื่อพิจารณาเรื่องนี้

ก่อนที่ยูเอ็นจะประชุมนั้น ทรัมป์ได้ออกมาข่มขู่ว่าชาติใดก็ตามที่ออกเสียงเห็นชอบตามมติยูเอ็นจะถูกตัดเงินช่วยเหลือ

แต่สมาชิกยูเอ็นที่มีทั้งหมด 193 ประเทศส่วนใหญ่ไม่สนใจคำขู่นั้นเพราะมติที่ประชุมออกมาว่าการตัดสินใจใดๆ ของสหรัฐเกี่ยวกับสถานะของเยรูซาเลมไม่มีผลบังคับใช้และเป็นโมฆะ

และเรียกร้องให้สหรัฐเพิกถอนการรับรองเยรูซาเลม อีกทั้งเรียกร้องให้สมาชิกยูเอ็นระงับการเปิดสถานทูตในเยรูซาเลม

โดยมี 128 ประเทศ (มีไทยรวมอยู่ด้วย) เห็นด้วยกับมติของยูเอ็น 35 ประเทศงดออกเสียง

และมีเพียง 9 ประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศเล็กๆ ไม่เห็นชอบ

ซึ่งชัดเจนว่า 9 ประเทศนี้กลัวคำขู่ของสหรัฐที่ว่าจะตัดเงินช่วยเหลือ

แน่นอนว่าประเทศที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น 15 ประเทศ ในจำนวนนี้มีชาติพันธมิตรสหรัฐอยู่ด้วยทั้งสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี ต่างออกเสียงสนับสนุนยูเอ็น ถือว่าเป็นการตบหน้าและโดดเดี่ยวสหรัฐอย่างแรงในเวทีระหว่างประเทศ

จนทำให้ นางนิกกี้ เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็น ออกมาใช้สิทธิวีโต้มติของยูเอ็น

แถมยังมีหน้าประณามว่ามติของยูเอ็นเป็นการดูหมิ่นสหรัฐพร้อมกับขู่กลายๆ ว่าสหรัฐจะไม่มีวันลืมการดูหมิ่นในครั้งนี้

แน่นอนว่าคำขู่นี้พุ่งตรงไปยังสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเป็นหลัก

ดูการทำหน้าที่ของนางเฮลีย์แล้ว ให้นึกสะท้อนใจว่า นายกับลูกน้อง ช่างเป็นพันธุ์เดียวกัน และมาตรฐานต่ำเหมือนกัน ไร้ความอายใดๆ ทั้งที่ถูกตบหน้าอย่างแรง

เธอยังคงพิทักษ์เจ้านายสุดแย่ที่ไม่มีใครนับถือได้อย่างหน้าตาเฉย

สะท้อนให้เห็นการตกต่ำรุนแรงด้านมโนธรรมและผิดชอบชั่วดีของคนอเมริกันที่รับใช้ทรัมป์ คือเป็นพวกฝรั่งเกรด C และ D ที่แย่ในทุกด้าน

นางพูดหน้าตาเฉยว่ายูเอ็นทำในสิ่งที่เป็นภัยมากกว่าสิ่งดีในการจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และว่า สหรัฐจะไม่ยอมให้ใครมาชี้นิ้วว่าจะตั้งสถานทูตตรงไหน

จึงถูกรัฐบาลปาเลสไตน์สวนกลับหน้าหงายเช่นกันว่าการที่อเมริกาใช้สิทธิ์วีโต้มติยูเอ็นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เพราะคุกคามเสถียรภาพนานาชาติเนื่องจากสหรัฐไม่เคารพต่อประชาคมนานาชาติ

จากเหตุการณ์นี้คงเป็นครั้งแรกที่ประชาคมโลกรู้สึกเวทนาสงสาร ดูหมิ่นและไม่เคารพสหรัฐ และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐเป็นตัวตลกและถูกโดดเดี่ยวในประชาคมโลก เบอร์ 1 คือประธานาธิบดีเป็นตัวตลกไม่พอ ตัวตลกเบอร์ 2 อย่างทูตสหรัฐประจำยูเอ็นยังช่วยขยายความขายหน้าให้กับสหรัฐขจรขจายไปไกลผ่านเวทียูเอ็น

พฤติกรรมของทูตสหรัฐประจำยูเอ็นทำให้รู้สึกได้ว่า ในที่สุดคนอเมริกันจำพวกหนึ่งที่ได้ชื่อว่าน่าจะมีมาตรฐานสูง เอาเข้าจริงก็เลียแข้งเลียขานาย เพื่อกอดตำแหน่งมากกว่าจะกล้าหาญทำในสิ่งที่ถูกต้อง

การที่สมาชิกยูเอ็นส่วนใหญ่ไม่แคร์ทรัมป์นั้น เชื่อว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเชื่อว่าทรัมป์และรีพับลิกันคงอยู่บริหารประเทศได้ไม่เกิน 1 วาระหรือ 4 ปี เพราะมีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าทรัมป์คงจอดแค่สมัยเดียว

ล่าสุดที่ชัดเจนคือผลการเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อเลือกผู้ว่าการรัฐ ในเวอร์จิเนียและนิวเจอร์ซีย์ ที่เดโมแครตเป็นฝ่ายกำชัยโค่นรีพับลิกันเจ้าถิ่นเดิม ซึ่งสื่อพากันวิเคราะห์ว่าชาวอเมริกันต้องการแสดงออกว่าไม่เอาทรัมป์ ที่สำคัญผู้สมัครจากเดโมแครตเน้นใช้นโยบายหาเสียงในแบบต่อต้านทรัมป์ ย่อมสะท้อนได้เช่นกันว่าคนอเมริกันเริ่มเห็นพิษร้ายของทรัมป์ จึงคล้อยตามการหาเสียงของเดโมแครต

ขณะนี้หลายประเทศแค่ทนๆ เพื่อรอเวลาให้ทรัมป์และรีพับลิกันหมดวาระไปเท่านั้น นโยบายต่างๆ ที่ผิดๆ เพี้ยนๆ ก็คงอยู่ได้ไม่นาน รอเพียงเวลาให้รัฐบาลใหม่มารื้อทิ้งเพื่อดึงมาตรฐานความเป็นอเมริกันกลับมา

เรื่องจริงเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเลือก (ผู้นำ) ผิด ชีวิตประเทศชาติเปลี่ยนจากประเทศที่มีคนนับถือ กลายมาเป็นประเทศที่ใครๆ พากันดูหมิ่น