“พิชัย-ถาวร” เห็นตรง “ฉัตรชัย-อภิรดี” เป็นรัฐมนตรีที่ควรถูกปรับ ซัดปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมเหลื่อมล้ำ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ตกเป็นสองเป้าหลักที่ทางตัวแทนพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ (ปีก กปปส.) เห็นพ้องต้องกันว่าควรมีการปรับปรุงการทำงานทั้งเปลี่ยนคน และที่สำคัญคือปรับนโยบาย ถ้าไม่ปรับก็เท่ากับว่า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

โดย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจขณะนี้ก็ไม่ได้แย่ลง เราต้องพูดความจริง แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเท่าไหร่ ยังมีปัญหาด้านการส่งออก ภาพรวมของประเทศไทยถือว่าเติบโตได้ต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียน

รวมถึงการลงทุนยังเป็นปัญหาที่สำคัญของรัฐบาล แม้จะมีการเชิญนักลงทุนลงข่าวกันครึกโครม ในโครงการอีอีซี แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีตัวเลขการลงทุนอย่างแท้จริง

“ที่ผ่านมาผมก็พยายามเรียกร้องให้มีการเปิดตัวหลังมีการนำเสนอว่ามีนักลงทุนกว่า 600 คนสนใจ แต่เรื่องก็เงียบไป…”

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ที่ผ่านมาคะแนนความนิยมและความพึงพอใจในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นสอบตก สิ่งที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพยายามจะสื่อสารว่าดี แต่ผลที่เห็นและประชาชนไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น มันสวนทางกัน

“ผมจึงเรียกร้องให้รองนายกฯ แสดงความรับผิดชอบ เพราะสิ่งที่ท่านพูดหลายครั้งแล้วผลไม่เป็นตามนั้นมันส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” นายพิชัยกล่าว และว่า

“ผมอยากให้ประชาชนลองพิจารณาดูว่าแต่ละกระทรวงมีผลงานอะไรบ้าง กลายเป็นว่าเรากลับนึกไม่ออกเลย ประชาชนอยู่ดีกินดีจากนโยบายไหนบ้าง? ขนาดบัตรคนจนก็เห็นว่ายังมีปัญหา โครงการประชารัฐต่างๆ ถามว่าประชาชนได้ประโยชน์จริงๆ หรือนายทุนกันแน่ที่ได้ประโยชน์”

เมื่อพิจารณารายกระทรวงแล้ว ที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน อันดับ 1 นายพิชัยเห็นว่าเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยต้องยอมรับว่าตอนนี้พี่น้องชาวเกษตรกรมีความเดือดร้อนกันมาก ราคาข้าว ราคายาง แม้ว่าจะเป็นราคาตลาดโลก แต่มองว่าระดับความช่วยเหลือจะต้องมี รัฐสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ควรมีการวางแผนระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวอย่างไร

“ที่ผ่านมาเอาคนที่ไม่ตรงกับความสามารถมาบริหาร ซึ่งท่านรัฐมนตรีอาจอยู่ในระบบทหารมาตลอด พอมาคุมด้านเกษตรอาจจะไม่มีความชำนาญ ไหนยังจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาน้ำท่วมอีก จึงมองว่านี่คือกระทรวงแรกเลยที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน เพราะทหารอาจจะมีความคิดความอ่านแบบหนึ่ง”

“การที่จะคิดอะไรนอกกรอบ แปลกใหม่เป็นเรื่องยาก และแน่นอนที่สุดต่อให้ปรับแล้วเอาข้าราชการประจำก็ไม่ต่างจากทหาร เขาทำแค่กรอบเดิมที่มี ที่ผ่านมาผมเองก็เคยมีปัญหากับข้าราชการประจำที่ติดขัดในการดำเนินนโยบาย”

กระทรวงต่อมา คือพาณิชย์ ที่นายพิชัยเห็นว่ายังไม่มีผลงานเด่นชัด การลงทุนที่หายไปมีมาก เพราะว่าเราเจรจาเขตการค้าไม่ได้ ด้วยสภาวะทางการเมือง แต่ว่า ขณะนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อความพร้อมก่อนเข้าสู่โหมดรัฐบาลเลือกตั้งแล้ว ควรปูทางเพื่อเจรจาและเซ็นสัญญาได้ทันทีหลังมีรัฐบาลใหม่ให้เศรษฐกิจเดินหน้า

นอกจากนั้น กระทรวงที่ควรปรับคงเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม และพลังงาน ที่ยังไม่เห็นความเป็นรูปธรรมในการผลักดันนโยบายต่างๆ เลย

นายพิชัยกล่าวอีกว่า จริงๆ ก็อยากเห็นประเทศเจริญ แต่รัฐบาลที่คิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว นโยบายดีแล้วโดยที่ไม่ฟังเสียงประชาชนว่าเขาเดือดร้อน อย่างนี้ประเทศเดินหน้าไปไม่ได้ ผมคิดว่าเสียงสะท้อนจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ความอดทนของประชาชนก็จะลดต่ำลง เราไม่อยากเห็นความวุ่นวาย อีก 1 ปีที่เหลือ (หากเดินตามกรอบเวลาว่าจะมีเลือกตั้ง) การบริหารประเทศช่วงนี้อยากให้เน้นแก้ไขปัญหาประชาชนให้มากขึ้น

ส่วนการที่ คสช. จะมีพรรคทหาร อย่าลืมว่า คสช. ตั้งทั้ง ป.ป.ช., กมธ, ส.ว. หากโดดมาเล่นหรือประกาศสนับสนุนพรรคใดๆ เท่ากับว่าคุณเอาสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งหมดไปสนับสนุนข้างหนึ่งข้างใด มันจะถูกมองถึงความไม่เหมาะสมและสร้างปัญหามากกว่า “ส่วนตัวผมไม่ได้กลัวและผมยังเชื่อว่าพรรคทหารประสบความสำเร็จยาก ผมอยากให้บันทึกคำพูดนี้เอาไว้เลยว่า รัฐบาลขับเคลื่อนอะไรไม่ได้แล้ว ผมเชื่อว่าปรับ ครม. มาก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น จะเอาคนไหนมาก็ไม่ได้ช่วย คนเก่งก็ไม่มา คนมาก็ไม่ได้เก่ง ยังไงก็ไม่พ้นราชการประจำมาเปลี่ยนสลับฉากกับทหารซึ่งก็มีกรอบคิดและกรอบการทำงานที่คล้ายกันและเชื่อว่า 3 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ปีที่เหลืออยู่ก็จะเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่า ความนิยม คสช. ลดลงต่ำเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ยิ่งเสื่อม”

“ผมคิดว่ายิ่งเลือกตั้งเร็วยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพลเอกประยุทธ์เอง”

ด้าน นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าภาพรวมการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยังสอบไม่ผ่าน ในแง่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การหาตลาดเพิ่มเติมเพื่อส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ รัฐบาลยังไม่สามารถขยายตลาดเพิ่มเติมได้ ที่สำคัญคือรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทำให้สังคมเกิดช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวยยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า “รวยกระจุกจนกระจาย”

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย ผู้ใช้แรงงานและคนยากคนจนทั่วไป เช่น การนำเอาเงินงบประมาณมาพัฒนาปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำแหล่งน้ำเพิ่มเติมเพื่อให้เกษตรกรได้มีแหล่งน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูก โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่

รัฐบาลให้ความสนใจเรื่องนี้น้อยมาก แต่กลับให้ความสำคัญจัดงบเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อดูแลคนเมืองมากกว่าดูแลช่วยเหลือคนชนบท ซึ่งเป็นการบริหารที่ไม่ได้สร้างความเสมอภาคอย่างทั่วถึง

นโยบายบัตรคนจนก็เช่นกัน ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน แทนที่รัฐจะสนับสนุนการเพิ่มรายได้ให้กับคนจน เช่น ส่งเสริมการขายสินค้า

ส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ชาวสวนยาง และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ แม้ว่าจะยึดถือกลไกการตลาดเป็นหลัก แต่รัฐบาลก็สามารถดูแลพี่น้องเหล่านี้ได้ ในขณะที่รัฐบาลให้สิทธิพิเศษแก่ข้าราชการได้ แต่คนยากจนในภาคเกษตรก็เป็นคนไทยซึ่งเสียภาษีภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกับข้าราชการ จึงอยากให้รัฐบาลดูแลให้อย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ นายถาวรในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดกับชาวสวนยาง ซึ่งรับทราบและเข้าใจปัญหาราคายางมาโดยตลอด ยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดกับแนวทางการแก้ปัญหายางพาราของรัฐบาล และอยากขอเสนอแนะแนวทาง ว่ารัฐบาลควรทบทวนบทบาทหน้าที่และโครงสร้างองค์กรของบริษัทร่วมทุนฯ เสียใหม่ เพื่อให้สนองตอบโจทย์ความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง และควรนำผลการประชุมของบริษัทร่วมทุน 3 ประเทศ ระดับรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อ 15 กันยายน 2560 (ITRC) มาปฏิบัติ ในเรื่องการควบคุมการส่งออก

และสุดท้ายคือโครงการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศยังไม่เป็นรูปธรรมดูได้จากปีงบประมาณ 2560 รัฐบาลจัดงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ 16,000 ล้านบาทเศษ ในปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลจัดงบประมาณไว้ 11,000 ล้านบาทเศษ เป็นงบฯ ประจำ งบฯ กลาง และงบฯ เหลือจ่าย

ดังนั้น นายกรัฐมนตรีควรลงมาขันน็อตหลายๆ รอบ และควรตั้งเป็นคณะทำงานติดตามรายงานผลความคืบหน้าตลอดเวลา เพราะเหตุว่าที่ผ่านมามีแต่มติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานนำยางพาราไปใช้ แต่มีแต่มติอยู่ในกระดาษเท่านั้น หน่วยงานต่างๆ ไม่มีความจริงใจและจริงจังในการนำยางพาราไปใช้

จึงขอให้นายกฯ ใช้ความเด็ดขาดในการสั่งการไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้นำยางพาราไปใช้อย่างจริงจัง โดยกำหนดปริมาณ จำนวนงบประมาณและกรอบเวลาที่ชัดเจนในการนำไปสู่การปฏิบัติ ถ้าทำได้ก็จะแก้ราคายางพาราตกต่ำได้พอสมควร

อย่างไรก็ตาม มองว่ากระทรวงที่ควรปรับปรุงการทำงานอย่างเร่งด่วนคือ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ควรนำรัฐมนตรีที่มีฝีมือเข้ามา รวมทั้งการปรับปรุงนโยบายด้วยเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

โดยอยากฝากถึงรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และกระทรวงการคลังได้กระจายงบประมาณมาสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานให้กับคนชนบทและคนยากจน ให้เขามีโอกาสลืมตาอ้าปากได้

ส่วนรัฐมนตรีจะมีสัดส่วนทหารมากหรือน้อย หรือไม่มีเลยก็ตามไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ขอให้จัดคนรับผิดชอบให้ตรงกับความสามารถ ประสบการณ์ และความจริงใจ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เป็นคนทุจริต

ซึ่งในอนาคตหากจะมีพรรคทหารจริงๆ ก็ควรมีอย่างเปิดเผยเพื่อเสนอตัวให้พี่น้องประชาชนเลือกเข้าทำหน้าที่เป็นนักการเมือง

“ผมคิดว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจจากคนหลายกลุ่มอย่างหลากหลาย ผมยินดีต้อนรับและควรจะได้เปิดตัวให้เร็วที่สุด เพื่อประชาชนจะได้ศึกษาและเปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจ” นายถาวรทิ้งท้าย!