‘ผบช.น.’ เป็นตำบลกระสุนตก วิ่ง สู้ ฟัด บนความเสื่อมตำรวจ พ่ายกระแสจอมแฉ ‘ชูวิทย์’

บทความโล่เงิน

 

‘ผบช.น.’ เป็นตำบลกระสุนตก

วิ่ง สู้ ฟัด บนความเสื่อมตำรวจ

พ่ายกระแสจอมแฉ ‘ชูวิทย์’

 

เป็นตำบลกระสุนตกอยู่ตอนนี้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.คนที่ 52 หรือ “บิ๊กจ้าว” เข้าทำนอง ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

คดีทุนจีนสีเทา ที่มี “ตู้ห่าว” นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ เป็นผู้ต้องหาสำคัญ กระแสซาลงหลังอัยการสูงสุดส่งฟ้องศาล

แต่ไม่กี่วันถัดมา งานเข้าอีก เน็ตไอดอลสาวไต้หวันแฉในโซเชียล ประจานตำรวจกรุงเทพฯ เมืองหลวงประเทศไทย ตั้งด่านรีดไถ 27,000 บาท

จอมแฉเจ้าเดิม นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและเจ้าของสถานบริการ ได้ออกแถลงปาดหน้า ผบช.น. เมื่อคืนวันที่ 29 มกราคม คอนเฟิร์ม ตำรวจรีดไถจริง

หลังจากมีข่าวทำนอง จับโป๊ะเน็ตไอดอลสาว ซ้ำรอย “หมวยโซ” ที่กุเรื่องถูกชาย 4 คนข่มขืนบนรถตุ๊กตุ๊ก หรือไม่ เพราะทั้งโชเฟอร์ แกร็บ คาร์ที่โดยสารมาให้การว่า เมามาย เอะอะโวยวาย และมีเฟซบุ๊กหนึ่งนำเสนอข้อมูลว่า เธอสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นปกติอยู่แล้ว

การแฉในค่ำคืนนั้น ช่างประจวบเหมาะตอนค่ำๆ วันเดียวกัน ฝ่ายสืบเค้น 1 ในตำรวจ 7 คนชุดตั้งด่าน จนสารภาพว่ามี ส.ต.อ. ผบ.หมู่ เรียกรับเงินดาราไต้หวันจริง หลังจากตอนแรกยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธว่าไม่มีมาตลอด

นายชูวิทย์กระทุ้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เด้ง “บิ๊กจ้าว” ให้พ้นตำแหน่ง ผบช.น.อีก หลังจากปฏิบัติการเขย่าเก้าอี้มาตั้งแต่คดีตู้ห่าว อ้างว่า ถ้าไม่ย้าย ความเสียหายจะเกิดขึ้นอีก

 

วันรุ่งขึ้น “น.1” เปิดแถลง พร้อมมีเอกสารข่าวของ บช.น.ประกอบ ใจความว่า ได้ดำเนินคดีตำรวจ 7 นายที่ร่วมตั้งด่าน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 กรณีปล่อยให้ดาราไต้หวันออกจากด่านโดยไม่ได้ดำเนินคดีเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมเอาผิดวินัยและอาญาเด็ดขาด

ส่วนมาตรา 149 เจ้าพนักงานเรียกรับสินบนนั้น ยังไม่มีการแจ้ง แม้แนวทางการสืบสวนสอดคล้องกับกระแสข่าวว่ามีการเรียกรับ แต่อยู่ระหว่างติดตามพยานมาให้การยืนยันการกระทำความผิด และจำนวนเงินที่ส่งมอบดังกล่าวว่าใครเป็นผู้มอบสินบนให้เจ้าพนักงาน เพื่อปล่อยตัวนักท่องเที่ยว และเจ้าพนักงานคนใดเป็นผู้รับสินบน จะต้องมีแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้ชัดเจน เพราะข้อมูลบางอย่างยังไม่ตรงกัน จึงต้องระมัดระวัง

งานนี้ทำตามกระแสให้ทันใจคนในสังคมไม่ได้ เวลาส่งสำนวนอัยการฟ้องศาล ถ้าอัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง กระแสตีกลับตำรวจอีก โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

จึงไม่แปลกที่ข้อมูลนายชูวิทย์ทยอยแฉไปไกลกว่าสำนวนพนักงานสอบสวน ถึงขนาดผู้เสียหายที่เป็นชายชาวสิงคโปร์ที่อยู่ในก๊วนดาราไต้หวันออกมายืนยันแล้วว่าจ่ายเงินให้ตำรวจรีดไถจริง

ยิ่งทำให้กระแสสังคมโจมตีการทำงานตำรวจอย่างหนัก ไม่เชื่อมั่นระบบการตรวจสอบว่า ตรงไปตรงมา ระแวงว่ามีการช่วยเหลือพวกเดียวกัน

ซ้ำเติมต้นทุนต่ำ “สีกากี” ที่มีอยู่แล้วดิ่งลงไปอีก

 

ทั้งที่เรื่องของเรื่องคือว่า หลังมี 1 ใน 7 สารภาพว่ามี “ส.ต.อ.” ผบ.หมู่ เรียกรับจริง แต่พอสอบปากคำกับพนักงานสอบสวนกลับปฏิเสธ ทำให้ไม่สามารถบันทึกในสำนวนได้ ผบช.น.ถึงไม่อาจแถลงข่าวได้ว่า เข้าข่ายมาตรา 149 ซึ่งมีโทษสูงถึงจำคุกตลอดชีวิต ที่สำคัญถ้าปากไวพูดไปก่อน พนักงานสอบสวนเสี่ยงจะโดนฟ้องกลับได้ จึงต้องมีความรัดกุมในการแถลงต่อสื่อมวลชน

แต่ในเบื้องต้นเชื่อกันว่าน่าจะมีมูล นำมาสู่คำสั่งเด้ง พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.น.

เหตุเป็นที่สงสัยว่าประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่และกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ อาจเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน หรืออาจยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการได้

ตามมาด้วยการให้ตำรวจที่ตั้งด่าน 2 กลุ่มฝั่งหน้าสถานทูตจีน และฝั่งเกาะกลางถนน รวม 14 คน เมื่อคืนวันที่ 4 มกราคม หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และให้ 7 ใน 14 นายซึ่งเป็นทีมตั้งด่านหน้าสถานทูตจีน ย้ายไปประจำ ศปก.น.1 หลังจากการสอบปากคำตำรวจทั้งหมดให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าได้ถ่ายรูปบุหรี่ไฟฟ้านักท่องเที่ยวจริง แต่ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา

พร้อมส่ง ผบก.สส.บช.น. เดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อไปคุยกับชายผู้ที่อ้างมอบเงินให้ตำรวจ และเดินทางไปไต้หวัน โดยประสานกับสถานทูตไปยังตำรวจไต้หวันให้เชิญตัวดาราสาวมาให้ข้อมูล

 

หลังจากนี้กระแสกดดันให้ พล.ต.ท.ธิติพ้นเก้าอี้คงมีเรื่อยๆ เจ้าของรหัสร้อนเรียกขาน “น.1” เคยเปิดใจว่า “ผมมาทำงานหน้าที่นี้ ด้วยผู้บังคับบัญชามอบหมายมาให้ทำงาน แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่เหมาะสมต้องเปลี่ยน หรือเห็นว่าทำอะไรไม่ถูกต้อง อยู่ที่ดุลพินิจผู้บังคับบัญชา ผมตั้งใจทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ในวันที่ยังมีโอกาส ถ้ายังมีเวลาทำก็ทำให้ดี”

ขณะที่ ผบ.ตร.ให้ความเห็นต้องให้ความเป็นธรรม ผบช.น.ด้วย เพราะการตั้งจุดตรวจเป็นข้าราชการตำรวจระดับโรงพัก เช่น หัวหน้าด่านคือรองสารวัตร ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมกำกับดูแลคือสารวัตร และรองผู้กำกับ ฉะนั้น หัวหน้าสถานีก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบ จึงต้องย้ายก่อน

ในแวดวงสีกากียอมรับกันว่า ผบช.น.คนที่ 52 เป็นคนตรงไปตรงมา ยอมหักไม่ยอมงอ ถือเป็นตำรวจน้ำดี ที่สำคัญยังมีแบ๊กดีด้วย แต่ขึ้นที่ “ผู้มีอำนาจ” จะทนแรงกดดันจอมแฉได้หรือไม่

 

บิ๊กจ้าว เป็น นรต.รุ่น 40 เพื่อนร่วมรุ่น อาทิ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมพงศ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.จีระสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น.

กว่าจะมาเป็นแม่ทัพนครบาล เริ่มบรรจุรับราชการตำรวจในพื้นที่เมืองหลวง ผ่านตำแหน่งสารวัตรกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เติบโตในหน้าที่ราชการมาโดยลำดับ เป็นผู้กำกับการทางหลวง 1-2 ผู้กำกับการ 1 กองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค, รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ, รองผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์

เป็น พล.ต.ต. ปี 2556 นั่งผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค โยกเป็น ผบก.จว.สระบุรี เป็น ผบก.จว.สงขลา

ขึ้นรอง ผบช.ส. เป็นรอง ผบช.ภ.1

ขยับเป็นรอง ผบช.น. เพียงปีเดียวแล้วกลับไปเป็นรอง ผบช.ภ. 1

เลื่อนเป็น ผบช. ประจำ ผบ.ตร. (ทำหน้าที่ประสานงานรัฐสภา) ทำให้มีโอกาสใกล้ชิดกับ “บิ๊กตู่” จนเป็นที่ไว้วางใจ

ขณะนั้นเกิดสถานการณ์โควิดระบาด แต่ปรากฏว่า บ่อนพนันหลงจู๊ ผู้กว้างขวางเมืองระยอง ยังลอบเปิด จนเชื้อไวรัสแพร่ พ่นพิษให้นายพลภาคตะวันออก เด้งระนาว

จน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.คนที่ 12 ส่ง พล.ต.ท.ธิติไปรักษาการ ผบช.ภ.2 เพื่อเก็บกวาดปัญหาร้อนชายฝั่งทะเลตะวันออก

ผลงานเข้าตาจนได้นั่ง ผบช.ภ.2 ตัวจริง และในที่สุด เป็น “ม้ามืด” ข้ามห้วยมาผงาดคุมนครบาล เกษียณราชการปี 2568