ไม่รู้ ไม่รู้ ‘ดีลลับ’ อะไรไม่รู้/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ไม่รู้ ไม่รู้

‘ดีลลับ’ อะไรไม่รู้

 

“ดีลลับ” ที่ถูกกล่าวขานและเป็นประเด็นร้อนแรง

คงไม่พ้นการตั้งข้อสงสัยถึงการจับมือระหว่างพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับพรรคเพื่อไทย ที่รับรู้โดยทั่วกัน ว่าคนนอกพรรคอย่างนายทักษิณ ชินวัตร มีอิทธิพลในการชี้นำอย่างสูง

โดยรูปธรรมที่ถูกยกมาเป็นการยืนยัน “ดีลลับ” ดังกล่าว

ก็คือ การร่วมมือกัน ไม่ให้ ส.ส.เข้าร่วมประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ…. ในวันที่ 10 สิงหาคม

เพื่อจะทำให้ 2 พ.ร.ป.พิจารณาไม่ทันตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ 180 วัน หรือสิ้นสุดในวันที่ 15 สิงหาคม 2565

นั่นจะทำให้การฟื้นสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบหาร 100 กลับคืนมา แทนที่จะเป็นสูตรแบบหาร 500

อันเป็นไปตามความประสงค์ของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการสูตรเลือกตั้งบัตร 2 ใบ หาร 100 เพราะจะทำให้เกิดปรากฏการณ์เพื่อไทยแลนด์สไลด์ได้มากกว่าสูตรอื่น

 

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ แม้ พล.อ.ประวิตรจะรู้ว่า บัตร 2 ใบ คำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหาร 100 เข้าทางเพื่อไทย

แต่ก็สั่งเดินหน้า คว่ำสูตรหาร 500 อันเป็นไปตามจุดยืนของ พล.อ.ประวิตรตั้งแต่ต้น ที่เห็นว่าบัตร 2 ใบ คำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหาร 100 จะเป็นประโยชน์ต่อพรรคมากกว่า

และกังวลว่า หากใช้สูตรหาร 500 พรรคพลังประชารัฐอาจจะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย ซึ่งจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

สอดคล้องกับแกนนำกลุ่มสามมิตรที่ยังดำรงความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร คือนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรียุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ออกมาจุดพลุว่า สูตรหาร 500 นั้น มีข้อบกพร่องไม่น่าจะเดินหน้าต่อไปได้ และจะมีปัญหาตามมาทีหลังอย่างแน่นอน

ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็ขานรับและส่งสัญญาณไปยังพรรคพลังประชารัฐ ให้เปลี่ยนกลับไปสูตรบัตร 2 ใบ หาร 100 ที่สอดคล้องกับความต้องการของพรรคเพื่อไทยพอดี

นี่จึงนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตว่ามีดีลลับระหว่าง 2 พรรค เพื่อหาทางหยุดสูตรหาร 500 ด้วยเกมไม่ให้ ส.ส.เข้าประชุม ทำให้สภาล่มจนพิจารณา 2 พ.ร.ป.ไม่ทันภายใน 180 วัน หรือไม่

 

พล.อ.ประวิตรออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวว่า “ผมจะไปยุ่งอะไร เป็นเรื่องของสมาชิกพรรค เขาว่ากันไปเอง”

และย้ำว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ส.ส.จะเข้าหรือไม่เข้า (ประชุมรัฐสภา) ผมจะรู้ได้อย่างไร ไม่รู้ๆๆ ไม่รู้จริงๆ”

ส่วนกระแสข่าวว่าไปดีลกับพรรคเพื่อไทยนั้น

พล.อ.ประวิตรปฏิเสธว่า “ไปที่ไหน ไม่เจอใครเลย อย่าไปคิดกันเอง ผู้สื่อข่าวไปคิดกันเองทั้งนั้น ข่าวทั้งหมดออกจากพวกผู้สื่อข่าว คิดเองเออเอง”

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ที่แกนนำต่างปฏิเสธถึงดีลลับดังกล่าว

โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่ากระแสดีลลับ เป็นการดิสเครดิตพรรคเพื่อไทยและทำลายความชอบธรรมของพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธว่าไม่มีการจับมือกับพรรค พปชร.หรือพรรคการเมืองใดๆ

นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย รองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) และโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) บอกว่า การที่ทำให้องค์ประชุมล่มเพื่อให้การพิจารณาไม่ทัน 180 วัน และกลับไปใช้ร่างเดิมนั้น ฝ่ายค้านเป็นเสียงข้างน้อยคงไม่สามารถกำหนดอะไรได้ ต้องแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่ว่าจะเอาอย่างไร แต่สำหรับพรรค พท.ยังยืนยันจุดยืนเดิมมาโดยตลอดในการใช้สูตรหาร 100

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเล่นเกม พรรคเพื่อไทยทำองค์ประชุมล่มไม่ได้ถ้าเสียงข้างมากไม่ทำ พรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างน้อย” นายสมคิดระบุ

 

แม้ทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทยจะปฏิเสธถึงการมีดีลลับของทั้งสองพรรค

แต่ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ซึ่งมีบทบาทในการผลักดันสูตรหาร 500

จะไม่เห็นสอดคล้องกับการปฏิเสธดังกล่าวสักเท่าไหร่

พร้อมกับอ้างว่า มีกระแสข่าวลือที่หลายคนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะมีการเกี่ยวพันกับการตัดสินครบวาระ 8 ปีของนายกรัฐมนตรี ซึ่งทุกคนมองว่า หากนายกฯ ถูกตัดสินว่าครบวาระ ตามมาตรา 158 วรรค 4 จะทำให้นายกฯ คนต่อไปน่าจะเป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่มีรายชื่ออยู่ในแคนดิเคตนายกรัฐมนตรี

แต่มีขบวนล็อบบี้ไม่ให้นายอนุทินขึ้นดำรงตำแหน่ง เพราะการโหวตเลือกต้องใช้เสียง ส.ว. 250 เสียงด้วย หลังจากนั้นก็จะเป็นการเอานายกฯ คนนอก เป็นก๊อก 2

ซึ่งตรงนี้เต็งหนึ่งน่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร แต่มีเงื่อนไขระบุอยู่ว่า การที่ พล.อ.ประวิตรจะขึ้นเป็นนายกฯ ได้จะต้องใช้เสียงโหวตของฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งอยู่ด้วย

“ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่ข่าวลือเขาระบุชัดว่า มีการฮั้วกันระหว่างคน 2 คน โดยประชาชนที่ติดตามข่าวน่าจะรู้ว่าหมายถึงใคร ว่าใครมีอิทธิพลบารมีมากพอที่จะไล่ ส.ส.และ ส.ว.กลับบ้านได้ และใครมีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นหาร 100 เพื่อแลกเปลี่ยนกัน เราคงต้องจับตาดูกันต่อไป” นพ.ระวีระบุ

 

สอดคล้องกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ที่มีจุดยืนตรงข้ามกับนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ออกมาดักคอว่า ที่ พล.อ.ประวิตรไปร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยนั้น ขอย้ำว่า พล.อ.ประวิตรไม่ชนะแน่นอน เพื่อไทยจะชนะ และสุดท้ายประเทศจะแย่

“ท่านต้องตัดสินใจใหม่ อย่าเชื่อคนรอบข้างว่าเราจะใหญ่ขึ้น ซึ่งไม่มีทาง และขอเตือนด้วยว่ากลุ่มคนที่อยู่ในพรรคของท่านอาจจะย้ายไปอยู่พรรคของคนแดนไกลก็เป็นได้ เพราะเขามีหลักประกันว่าหัวหน้ามุ้งได้เป็น ส.ส.แน่นอน ซึ่งอาจทำให้พรรคของท่านลำบากขึ้น”

“สุดท้ายประสบการณ์จะบ่งบอกว่าการสร้างพรรคใหญ่ทางการเมืองของประเทศไทยด้วยระบบหาร 100 จะนำไปสู่วิกฤตทุกครั้ง และเกิดการปฏิวัติรัฐประหารเพราะประชาชนเบื่อหน่าย”

เช่นเดียวกับนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อชาติ ซึ่งมีปัญหากับพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรง

ก็ออกมาผสมโรง

โดยย้ำว่า มีดีลลับของสองเผด็จการ ที่มาจากสองขั้ว

ขั้วหนึ่งเป็นเผด็จการในรัฐสภา อีกขั้วเป็นเผด็จการใช้ปืน ใช้รถถังยึดอำนาจเข้ามา

วันนี้สองเผด็จการผสมพันธุ์กันเรียบร้อย กลายเป็นพวกมากลากไปเอาหาร 100 ทำให้พรรคเล็กสูญพันธุ์แน่นอน ทำแบบนี้

“ขอท้าสองเผด็จการว่ากล้าสาบานหรือไม่ว่าไม่ได้ดีลลับกัน ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ให้แตะ พล.อ.ประวิตรเด็ดขาด ซึ่งผมไม่เคยได้อภิปราย พล.อ.ประวิตรเลย การสุมหัวกันแก้รัฐธรรมนูญของสองพรรคใหญ่วันนี้ทำเพื่อใคร” นายศรัณย์วุฒิกล่าวหาอย่างดุเดือด

และตั้งคำถามกับ พล.อ.ประวิตร ว่า

“น้องชายอักษร พ. ดีลลับกับเจ้าของพรรคหรือไม่… ถ้าหาร 100 สำเร็จ นายกฯ คนต่อไปชื่อ พล.อ.ประวิตรใช่หรือไม่ ขอถามดังๆ” นายศรัณย์วุฒิตั้งข้อสงสัย

 

การดักคอด้วยการออกมาเปิดโปง “ดีลลับ” ของฝ่ายที่มีจุดยืนไม่เอาเพื่อไทย ไม่เอาทักษิณนั้น

แน่นอนเป้าหมายเฉพาะหน้า ก็มุ่งสกัดการฮั้วของทั้ง 2 พรรคในรัฐสภา กรณี 2 พ.ร.ป.

ซึ่งก็เห็นร่องรอยการพยายามรวมเสียงสู้ จาก ส.ส.และ ส.ว.ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อยู่ตามสมควร

โดยเดิมนั้น มีการคาดหมายว่า การประชุมรัฐสภาในวันที่ 10 สิงหาคม ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะมีการสั่งให้ ส.ส.พลังประชารัฐและเพื่อไทย ลา หรือโดดร่ม

แต่เอาเข้าจริง การประชุมรัฐสภา แม้จะมี ส.ส. “ลาพิเศษ” จำนวน 32 คน แต่ก็สามารถดำเนินการได้

เมื่อมีสมาชิกวุฒิสภาลงชื่อ 152 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงชื่อ 216 คน รวม 368 คน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่ง (เกิน 364) จึงถือว่าครบองค์ประชุม

และชิมราง ผ่านร่าง พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ…. ที่ค้างในวาระที่ 2 และ 3 ไปได้แบบสบายๆ

จนดูเหมือนว่า องค์ประชุมไม่น่ามีปัญหาแล้ว

เมื่อเข้าสู่เรื่องร้อนๆ คือ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ…. ตอนแรกเหมือนฮั้วจะแตก เพราะมีผู้แสดงตนเพื่อโหวตในมาตรา 24/1 ถึง 403 คน เกินกึ่งหนึ่งไปมาก

แต่เมื่อถึงวาระต้องโหวต ปรากฏว่ามีผู้ลงมติแค่ 342 เสียง ห่างจากกึ่งหนึ่งเกือบ 20 ถือว่าองค์ประชุมไม่ครบในขั้นลงมติ จึงจำเป็นต้องปิดประชุม

รัฐสภาแท้งตามคาดหมาย

 

ผลที่ตามมา คือโอกาสที่ พ.ร.ป.จะไม่ทันกรอบ 180 วัน ซึ่งจะครบในวันที่ 15 สิงหาคม ค่อนข้างสูง โดยจะต้องกลับไปใช้ร่างของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ใช้สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยการหาร 100

สมความต้องการของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มของ พล.อ.ประวิตร

เว้นเสียแต่ปีกหนุนสูตรหาร 500 อันโยงถึงปีกของ พล.อ.ประยุทธ์จะสู้ต่อ

โดยอาจจะให้วิปกดดันให้มีการประชุมรัฐสภาเพิ่ม เพื่อลุ้นกันอีกรอบหรือไม่

รวมถึงอาจจะต้องงัดกลยุทธ์ทุกวิถีทางมาแก้ลำ

เพราะมิฉะนั้น “ดีลลับ” ที่ พล.อ.ประวิตรบอกว่า ไม่รู้ ไม่รู้ นั้นอาจจะรุกคืบไปอีกก้าว

คือเป็นอย่างที่พรรคเล็กและฝ่ายไม่ชอบทักษิณ ตีปี๊บดักคอ นั้นคือพรรคพลังประชารัฐและเพื่อไทย จับขั้วดันให้ พล.อ.ประวิตรก้าวสู่นายกรัฐมนตรี

ขณะที่เพื่อไทยก็จะใช้สะพานจาก “ดีลลับ” นี้ เป็นสะพานกลับเข้าสู่วงจรอำนาจอีกครั้ง

ซึ่งแม้ “ทฤษฎีการสมคบคิด” นี้ ดูจะยากและห่างไกลจากความเป็นจริง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.พ.ชลน่านเองก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าเป็นไปไม่ได้

แต่กระนั้น ฝั่งฟาก 2 ป. และฝ่ายต่อต้านทักษิณ คงไม่อาจนั่งเฉยๆ ได้

ต้องหาวิธีแก้เกมและสกัด “ดีลลับ” อย่างเต็มที่

สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร