‘7 เดือน 7’ ดาวมฤตยู นายกฯ ผู้ดีไขก๊อก อาเบะดาวดับถูกลอบสังหาร

7เดือน 7 ทางโหราศาสตร์ดาวมฤตยูชื่อ “ยูเรนัส” โคจรเข้าสู่ราศีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนเวทีโลก

อย่างนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีเมืองผู้ดีวัย 58 กะรัต ตัดสินใจลาออกจากหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ในวันมฤตยูด้วยถูกกดดันจากรัฐมนตรีร่วมคณะชิงบ๊ายบายไปก่อนกว่าครึ่งร้อย

วันรุ่งขึ้น…เวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นญี่ปุ่นเกิดข่าวให้ชาวโลกช็อกตะลึงงัน เมื่อนายชินโสะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 57 พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ญี่ปุ่น ถูกลอบสังหารขณะกล่าวปราศรัยหาเสียงหนุนพรรค ก่อนวันเลือกตั้งสภาสูง 10 กรกฎาคม หน้าสถานียามาโตะ ไซไดจิ เมืองนารา เมืองหลวงเก่าในภูมิภาคคันไซ

อันที่จริงการปราศรัยครั้งนี้เป็นการปราศรัยขนาดเล็กไม่ปรากฏโปรแกรม มีเวลาจัดเวทีล่วงหน้าเพียง 1 คืนเท่านั้น จึงมีเสียงวิจารณ์ตามมาถึงกระบวนการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างหละหลวม เปิดช่องทางให้คนร้ายปฏิบัติการได้อย่างสะดวก…ส่วนการสังหารนั้นทราบในเวลาต่อมาว่าเป็นปืนชนิดลูกซองแฝด ยิงจากด้านหลังเหยื่อราว 3-5 เมตร ทำให้กระสุนเจาะเข้าบริเวณลำคอและอกด้านซ้ายล้มฟุบไม่พบสัญญาณชีพทันที แต่ข่าวบอกว่าไปถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป 5 ชั่วโมง ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนารา

นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และความทรงจำของชาวโลกไปอีกนาน เช่นคดีสังหารผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญทั่วโลกที่ผ่านๆ มา

สํานักข่าวเอ็นเอชเคโตเกียว ได้รายงานให้ทราบว่าคนร้ายถูกรวบตัวในที่เกิดเหตุเวลาต่อมา ชื่อนายเทสึยะ ยามากากิ วัย 41 ปีชาวนารา พบว่าอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น ที่คล้ายทหารแต่ไม่ใช่…เพราะญี่ปุ่นคือชาติผู้พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถูกห้ามโดยสนธิสัญญาที่มีค้ำคออยู่

สำหรับปืนทูตมรณะกระบอกเดียวกันนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ลำพังญี่ปุ่นมีกฎหมายหินที่ยากต่อการครอบครองของพลเมือง แม้แต่ตำรวจแต่งเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปก็ไม่เห็นพก นอกจากกระบองเหน็บเอวเท่านั้น และทบทวนจากสถิติคดีคนญี่ปุ่นใช้ปืนตัดสินปัญหา ปีหนึ่งมีติดปลายนวมแค่หลักสิบ ขณะอเมริกามีหลักหมื่น…ไทยไม่ต้องไปอ้างถึงให้อายเขา!

ด้วยเหตุนี้นายยามากากิจึงเตรียมการประดิษฐ์ปืนไร้ทะเบียนไว้เอง โดยประสบการณ์เมื่อครั้งทำงานอยู่กองกำลังฯ และทราบภายหลังจากหน่วยสืบสวนสอบสวนตำรวจนาราว่า เขาสะสมอาวุธปืนชนิดญี่ปุ่นประดิษฐ์กับวัตถุระเบิดจำนวนหนึ่งไว้ในห้องพักชั้น 8 คอนโดฯ แห่งหนึ่ง

จึงได้แจ้งเพื่อนข้างห้องให้อพยพชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยในการย้ายระเบิดออกมา

การสอบสวนผู้ต้องหา ตำรวจได้เปิดเผยว่า เขารู้ล่วงหน้าเพียงคืนเดียวทางอินเตอร์เน็ตว่าเหยื่อจะเดินมาให้ลบรอยแค้น จากการที่นายอาเบะเป็นผู้อุปถัมป์องค์กรศาสนาองค์กรหนึ่งเชื่อมโยงเกาหลีใต้ ที่มีเหล่าสาวกลุ่มลุ่มหลงหัวปักหัวปำจำนวนมาก รวมถึงแม่ของเขาถึงขนาดขนเงินก้อนใหญ่ไปบริจาคสนับสนุน จนฐานะทางบ้านกระทบกระเทือนและล้มละลายในที่สุด

เขาจึงตั้งใจจะต้อง “ฆ่า” นายอาเบะผู้นำตัวเบิ้มที่หนุนหลังเพื่อตัดปัญหา!

 

คดีสะเทือนขวัญคนญี่ปุ่นและชาวโลกมากมายครั้งนี้ ผู้บังคับการตำรวจนารารับปากจะรีบคลี่คลายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และจะตรวจสอบด้วยว่าถึงกำลังพลมีความพร้อมรักษาความปลอดภัยสมาชิกพรรคการเมืองใหญ่ ตลอดจนอดีตผู้นำประเทศพบข้อบกพร่องตรงไหนถึงเกิดเหตุการณ์ขึ้น

ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหานายยามากากิ กรณีมีความเคียดแค้นต่อความเชื่อทางการเมืองเรื่องอดีตนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพหนึ่งเดียวในโลก มาตรา 9 เพื่อขยายกองกำลังป้องกันตนเองไปในหลายๆ ประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดเสียงคัดค้านเป็นวงกว้างที่ญี่ปุ่นจะย้อนกลับเวลา ไปเป็นมหาอำนาจผู้กระหายสงครามอีกครั้งหนึ่งมากกว่าสันติสุข

ประเด็นนี้นายยามากากิปฏิเสธกับชุดสอบสวนว่าไม่เป็นความจริง เขาเพียงแต่มีความเห็นด้วยกับเสียงคัดค้านจากประชาชนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้ จึงจำต้องฆ่านายอาเบะซึ่งมันไม่ใช่…คนละแค้นกัน

 

ร่างอันไร้วิญญาณของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 57 ได้นำสู่กรุงโตเกียวบ้านเกิดเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางประชาชนที่ต่างกำสรดกับการจากไป และรวมใจวางช่อดอกไม้เพื่อความอาลัยครั้งสุดท้าย

ชินโสะ อาเบะ อยู่ในความทรงจำของคนร่วมแผ่นดินว่า เขาคือผู้นำประเทศในระบอบรัฐสภาที่อายุน้อยที่สุดคราวนั่งตำแหน่งสมัยสั้นๆ ปี 2549 ด้วยเหตุบังเอิญทางการเมืองบางประการ และผ่านการเลือกตั้งเข้ามานั่งในเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งหนึ่งเมื่อธันวาคม 2555 จนถึงสิงหาคม 2563 จำเป็นต้องลาออกเพราะป่วยลำไส้บวมเป็นแผล ทั้งๆ ที่เหลืออีก 3 เดือนจะครบ 8 ปีอยู่แล้ว

ว่าไปแล้ว…เขาคือผู้กุมบังเหียนประเทศที่คนญี่ปุ่น “ไม่ชอบ” คือหนึ่งล่ะเรื่องการดื้อรั้นจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพโลก มาตรา 9 ที่อาจจะนำญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคทมิฬของสงครามอีกครั้ง หลังตนเองต้องพ่ายแพ้และบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

สอง ดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะกับอินโดแปซิฟิก บนรอยเท้าก้าวเดินตามมหาอำนาจจอมเกเรอย่างสหรัฐอเมริกา ทั้งที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้กับคนญี่ปุ่นอย่างแสนสาหัสจนชั่วลูกหลาน เลือกทำการค้าอย่างประนีประนอมและถ้อยทีถ้อยอาศัยกับประเทศนี้ แต่ไม่ไยดีแบนสินค้ารัสเซียหลายชนิดที่จำเป็นกับญี่ปุ่นอย่างไม่สนใจ

ผลคือเศรษฐกิจชาติถึงคราวถดถอยเพราะความหาญกล้ามุทะลุของผู้นำ ช่างท้าทายต่อคนรุ่นใหม่ในประเทศยุคนี้

 

แต่กับคนญี่ปุ่นอีกจำนวนไม่น้อยที่ “ชอบ” ตรงเขาเป็น 1 ในสมาชิกกลุ่มอนุรักษนิยมที่เรียกตัวเองว่า “นิปปอน ไคจิ” ซึ่งมีความคิดแบบชาตินิยมสุดโต่ง อีกทั้งมีอิทธิพลอย่างสูงในการเปลี่ยนแปลง เช่น การคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวที่กำลังโต้เถียงกันเรื่องมาตรา 9 ให้มีการจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองในต่างประเทศมากขึ้น

เรื่องนี้คนญี่ปุ่นมองว่ามีคนคิดจะแก้มาแล้วหลายหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เมื่อมาถึงยุคนายอาเบะดูมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจังกว่าใคร

อีกข้อชอบ…ตรงเขาเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดจัดตั้งกรอบความร่วมมือระหว่างสหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย ในปี 2559 ที่จะให้ “อินโดแปซิฟิกคือดินแดนเสรีที่เปิดกว้าง” และที่สำคัญคือการเรียกร้องให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้นเป็นพิเศษ กับการปฏิรูปโครงสร้างใหม่ๆ ให้ประเทศญี่ปุ่นมากมาย

ขณะเดียวกันก็สร้างนโยบาย “คูล เจแปน” ผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ญี่ปุ่นดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าประเทศ จากการเปิด “ฟรีวีซ่า” ที่คงจำกันได้การขอวีซ่าเข้าญี่ปุ่นเดิมยากยิ่งกว่าการขอขึ้นสวรรค์ ต้องมีหนังสือรับรองพร้อมแบงก์การันตี

แต่ช่วงที่นายอาเบะดำเนินนโยบาย ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมักท่องเที่ยวทะลักเข้าญี่ปุ่นถึงปีละกว่า 1 ล้านคน มีสายการบินบินเชื่อมสู่กันสัปดาห์ละ 250 เที่ยวบิน รวมถึงการแลกเปลี่ยนคนญี่ปุ่นเดินทางไปเที่ยวบ้านเราแชร์กัน

ถึงตรงนี้ไม่ต้องคิดนะว่า เราจะเสียดุลนักท่องเที่ยวให้ญี่ปุ่นเพราะก่อนโควิดระบาดปี 2562 เราได้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น 1.78 ล้านคน สร้างรายได้ 9.37 หมื่นล้านบาท

ทั้งหมดเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นในสมัยนายชินโสะ อาเบะ ยังมีลมหายใจอยู่ แต่วันนี้เขาได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว…สมดั่งสุภาษิตที่ว่า “นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”