เส้นใยแมงมุม(蜘蛛の糸)/บทความพิเศษ สุภา ปัทมานันท์

บทความพิเศษ

สุภา ปัทมานันท์

 

เส้นใยแมงมุม(蜘蛛の糸)

 

แปลจาก คุโมะโนะอิโตะ(蜘蛛の糸)เขียนปี1918 โดย อะคุตากาวา ริวโนะสุเกะ(芥川龍之介)(1892 – 1927)

ผู้เขียน ราโชมอน ได้รับสมญาว่า “บิดาแห่งเรื่องสั้นญี่ปุ่น”

 

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงพระดำเนินเล่นอยู่เพียงพระองค์เดียวบริเวณริมสระบงกชแห่งสรวงสวรรค์ ดอกบัวที่บานอยู่กลางสระนั้นล้วนมีสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องราวรัตนมณี ฝักบัวสีทองกลางดอกนั้นส่งกลิ่นหอมจรุงใจ ขจรขจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ สรวงสวรรค์ ณ ยามนี้ คือรุ่งเช้าพอดี

ในที่สุด พระพุทธเจ้าทรงประทับยืนนิ่งริมสระ ทอดพระเนตรความเป็นไปเบื้องล่างจากช่องระหว่างใบบัวเหนือน้ำในสระ เนื่องจากสระบงกชแห่งสรวงสวรรค์อยู่ตรงกับก้นบึ้งนรกอเวจีพอดี เมื่อทอดพระเนตรผ่านน้ำในสระที่ใสราวกับผลึกแก้ว ก็ทรงเห็นความเป็นไปในนรกสามขุมได้อย่างชัดเจนราวกับทอดพระเนตรจากกล้องสามมิติ

ทันใดนั้น สายพระเนตรก็มาหยุดลงที่ชายคนหนึ่ง มีชื่อว่า คันดะตะ ซึ่งกำลังทุรนทุรายอยู่ในบรรดาคนบาปด้วยกัน ชายชื่อ คันดะตะ นี้เป็นมหาโจรประกอบกรรมชั่วต่าง ๆ มากมาย ทั้งฆ่าคน ทั้งลอบวางเพลิงเผาบ้านเรือน เป็นต้น แต่กระนั้นก็ตาม เขายังมีกรรมดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินทางอยู่กลางป่าลึก ได้เห็นแมงมุมเล็ก ๆ ตัวหนึ่งกำลังคลานอยู่ริมทางเดิน ทันใดนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นหมายจะเหยียบย่ำให้ตาย แต่แล้วก็กลับคิดได้ว่า “ไม่ได้ ๆ เจ้าตัวนี้แม้จะตัวเล็กกะจ้อยร่อย แต่ก็มีชีวิต การจะคร่าชีวิตมันไปโดยไม่ยั้งคิดนั้นน่าเวทนายิ่งนัก” ดังนั้น คันดะตะจึงไม่ได้ฆ่าเจ้าแมงมุมตัวนั้น แต่กลับไว้ชีวิตมัน

ขณะที่พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรความเป็นไปในนรกอเวจีอยู่นั้น ก็ทรงรำลึกได้ถึงเรื่องที่คันดะตะผู้นี้เคยไว้ชีวิตแมงมุม มีพระดำริว่าแม้จะเป็นกรรมดีเพียงเท่านี้ ก็น่าจะได้รับผลตอบแทนกรรมดีนั้น หากเป็นไปได้ก็ทรงอยากช่วยเขาให้พ้นจากนรกอเวจี นับเป็นการบังเอิญแท้ ๆ เมื่อทอดพระเนตรไปข้าง ๆ บนใบบัวที่มีสีเขียวราวกับหยก มีแมงมุมแห่งสรวงสวรรค์ตัวหนึ่งกำลังชักใยสีเงินสวยงาม พระพุทธเจ้าทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปเกี่ยวเส้นใยแมงมุมนั้น แล้วทรงหย่อนลงไประหว่างดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์สะอาด ตรงดิ่งลงไปยังก้นบึ้งนรกอเวจีเบื้องล่างอันไกลลิบ

ทางนี้คือ ก้นบึ้งของสระโลหิต คันดะตะ กำลังทุรนทุรายลอยบ้างจมบ้างอยู่ในสระร่วมกับคนบาปอื่น ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็มืดมิดไปทั่ว บางครั้งบางคราเห็นอะไรราง ๆ โผล่ขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดนั้น แท้จริงแล้วก็คือ แสงสะท้อนจากเข็มแหลมคมน่าสะพรึงกลัวของภูเขาเข็ม ไม่มีอะไรจะน่ากลัวกว่านี้อีกแล้ว บริเวณโดยรอบข้างบนนั้นกลับเงียบสงบราวป่าช้า หากจะได้ยินเสียงอะไรบ้างเป็นบางครั้ง ก็เป็นเพียงเสียงทอดถอนหายใจของเหล่าคนบาป มนุษย์ที่ต้องตกลงมาถึงสระแห่งนี้ย่อมเป็นผู้ที่ผ่านความทุกข์ทรมานต่าง ๆ ในนรกขุมต่าง ๆ มาจนเหนื่อยล้า แม้แต่แรงที่จะร้องไห้ก็ไม่มีอีกแล้ว ดังนั้น มหาโจรอย่างคันดะตะก็เช่นเดียวกัน โลหิตในสระได้เข้าไปจุกอยู่เต็มลำคอราวกับกบที่กำลังจะตาย ทำได้ก็แต่เพียงกระดิกตัวเท่านั้น

แต่… มีอยู่ขณะหนึ่ง จะเป็นด้วยเหตุใดไม่ทราบแน่ เมื่อคันดะตะแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้าเบื้องบนเหนือสระโลหิต ท่ามกลางความมืดมิดและนิ่งสงบนั้น มีเส้นใยแมงมุมสีเงินลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ไกลลิบ ๆ เป็นเส้นใยบาง ๆ ส่องประกายราวกับเกรงว่าจะกระทบสายตาของมนุษย์คนใดเข้า ค่อย ๆ ดิ่งลงมา ๆ เหนือตนเองมิใช่หรอกหรือ ? คันดะตะเห็นดังนั้นก็ลืมตัว ตบมือด้วยความยินดี ถ้าหากเกาะเส้นใยแมงมุมนี้ไต่ไปไหน ๆ ได้ ก็จะขึ้นจากนรกอเวจีนี้ได้เป็นแน่แท้ เอ๊ะ! ไม่แน่นะ ถ้าไต่ไปได้อย่างราบรื่นอาจจะไปถึงสรวงสวรรค์ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะไม่ต้องถูกเข็มแหลมจากภูเขาเข็มทิ่มแทง หรือไม่ต้องจมอยู่ในสระโลหิตแห่งนี้แน่นอน

เมื่อคิดได้ดังนี้ คันดะตะก็รีบจับเส้นใยแมงมุมแน่นด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เริ่มตั้งหน้าตั้งตาไต่ขึ้นไป ๆ และด้วยภูมิหลังเป็นมหาโจร การทำเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่คันดะตะชำนาญมาแต่เดิมแล้ว

แต่ระยะทางระหว่างนรกอเวจีกับสรวงสวรรค์นั้นห่างกันอยู่หลายหมื่นลี้ แม้จะรีบเร่งเพียงใด ก็ไม่ได้ปีนขึ้นมาถึงข้างบนได้ง่าย ๆ เลย ดังนั้นเมื่อปีนขึ้นมาได้สักพัก คันดะตะก็ชักจะหมดแรง ไม่มีแรงแม้แต่จะไต่ขึ้นไปอีกสักคืบแล้ว เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใด ก่อนอื่นต้องหยุดพักสักนิด คันดะตะจึงห้อยโหนตัวอยู่กลางเส้นใยแมงมุมนั้น พลางก้มลงมองดูเบื้องล่างไกลออกไป

เมื่อมองลงไปก็รู้สึกว่าการที่พยายามไต่ขึ้นมานั้นเห็นผลแล้ว สระโลหิตที่ตัวเองอยู่เมื่อครู่นี้บัดนี้ลับหายไปในความมืดก้นบึ้งลิบ ๆ แล้ว นอกจากนี้ภูเขาเข็มแหลมน่าสะพรึงกลัวที่ส่องประกายราง ๆนั้น บัดนี้ก็อยู่ใต้เท้าของตนแล้ว ถ้าหากสามารถปีนขึ้นไปได้อีกเหมือนที่ทำมาแล้วละก็ การจะหลุดออกจากนรกอเวจีอาจจะง่ายกว่าที่คิดไว้เสียอีก คันดะตะยึดเส้นใยแมงมุมด้วยมือทั้ง 2 ข้างแล้วก็ร้องตะโกนด้วยเสียงที่ไม่เคยเล็ดลอดออกจากปากเลยตั้งแต่มาอยู่ในนรกนี้หลายปีแล้วว่า “สำเร็จแน่ ๆ” พร้อมกับหัวเราะอย่างสุขใจ แต่…ครั้นรู้ตัวอีกที เส้นใยแมงมุมข้างล่างนั่น มีคนบาปทั้งหลายอีกจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับขบวนมด กำลังพยายามไต่ขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ตามทางที่ตนปีนขึ้นมามิใช่หรอกรึ ? เห็นดังนั้นแล้ว ด้วยความตกใจประกอบกับความกลัว คันดะตะได้แต่ตกตะลึงอ้าปากกว้างราวกับเสียสติ นิ่งไปชั่วครู่ ได้แต่กลอกตาไปมาเท่านั้น ใยแมงมุมเส้นบาง ๆ นี้แค่น้ำหนักของตัวเองเพียงคนเดียวก็ทำท่าจะขาดมิขาดแหล่อยู่แล้ว แต่เหตุไฉนจึงสามารถทานน้ำหนักของคนจำนวนมากเช่นนั้นได้เล่า ? ถ้าเกิดขาดขึ้นมากลางทาง ตนเองที่สู้อุตส่าห์ปีนขึ้นมาจนถึงที่นี่จะต้องตีลังกาหกคะเมนตกลงไปในนรกอเวจีอย่างเดิมเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แย่แน่ ขณะที่คิดอยู่นั้นบรรดาคนบาปทั้งหลาย ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคนกำลังคลานกระดืบ ๆ ขึ้นจากก้นสระโลหิตที่มืดมิด แล้วพยายามปีนเกาะใยแมงมุมเส้นบาง ๆ ที่เป็นประกายนี้ เรียงกันเป็นแถวยาว ถ้าไม่รีบทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เส้นใยแมงมุมจะต้องขาดกลางเป็นแน่แท้ แล้วต้องตกลงไปยังนรกอเวจีดังเดิม

ดังนั้น คันดะตะจึงส่งเสียงร้องตะโกนดังลั่นว่า “นี่แน่ะ บรรดาคนบาปทั้งหลาย เส้นใยแมงมุมนี้เป็นของข้าแต่ผู้เดียวหรอกนะ พวกเจ้าน่ะ ขออนุญาตใครจึงได้พากันปีนขึ้นมาดังนี้ ลงไป ๆ ซะ”

ในบัดดลนั้นเอง เส้นใยแมงมุมที่ทานทนมาจนถึงขณะนี้ก็ขาดผึงลงตรงบริเวณที่คันดะตะห้อยโหนอยู่นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคันดะตะก็ไม่อาจเกาะอยู่ต่อไปได้ ไม่ถึงอึดใจ เพียงชั่วพริบตา คันดะตะก็หมุนติ้วราวกับลูกข่าง หกคะเมนตีลังกาหลายตลบตกลงสู่ก้นบึ้งนรกอเวจีอันมืดมิด

พระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ริมสระบงกชแห่งสรวงสวรรค์ ทรงเฝ้าทอดพระเนตรเหตุการณ์โดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นจุดจบของคันดะตะที่ต้องจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งสระโลหิตราวกับก้อนหิน ทรงมีพระพักตร์เศร้าหมอง แล้วเริ่มทรงพระดำเนินเอื่อย ๆ อีก คันดะตะผู้ไม่มีจิตใจเมตตา คิดแต่จะปีนขึ้นมาให้พ้นนรกอเวจีแต่เพียงผู้เดียว จึงได้รับโทษอันสาสมแก่จิตใจเช่นนั้น กลับต้องตกลงไปในนรกอเวจีอีก หากมองจากสายพระเนตรของพระองค์ท่านแล้ว ทรงรังเกียจยิ่งนัก

แต่เหล่าบงกชในสระแห่งสรวงสวรรค์นี้มิได้รับรู้เช่นนั้นด้วยสักนิด ดอกสีขาวบริสุทธิ์ราว

รัตนมณี ไหวพลิ้วอยู่รอบพระบาทของพระองค์ ฝักบัวสีทองกลางดอกนั้นส่งกลิ่นหอมจรุงใจ ขจรขจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ สรวงสวรรค์ ณ ยามนี้ ล่วงเข้าใกล้เที่ยงวันแล้ว