ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 ธันวาคม 2564 |
---|---|
ผู้เขียน | สมชัย ศรีสุทธิยากร |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
สมชัย ศรีสุทธิยากร
ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต
ผ่ากรุงเทพมหานคร
พื้นที่นี้ใครครอง (1)
กรุงเทพมหานครนั้นใหญ่กว่าที่เราคิด
Worldometer มีผลการจัดลำดับเมืองใหญ่ล่าสุดในปี ค.ศ.2015 กรุงเทพฯ ของเราได้อันดับที่ 19 ด้วยประชากร 14.9 ล้านคน ต่ำกว่า Los Angeles ที่ได้อันดับ 18 ด้วยประชากร 15 ล้านคน โดยอันดับหนึ่งคือเมืองคู่แฝด Tokyo-Yokohama ที่มีประชากร 37.8 ล้านคน
แม้จำนวนประชากรตามทะเบียนราษฎร จะมีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน และที่มีสิทธิเลือกตั้งจะอยู่ที่ประมาณ 4.7 ล้านคน แต่ปัญหาของกรุงเทพมหานครที่รอผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่มาแก้ไขนั้น คงต้องครอบคลุมไปยังคนทั้งหมดที่มาอาศัยอยู่ในมหานครแห่งนี้ด้วย
ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2556 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4.2 ล้านคน ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4.4 ล้านคน
พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้งของคนกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปมา ยากต่อการคาดเดา
แต่หากเรานำผลการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งหลังสุดมาเป็นฐานในการวิเคราะห์แบบแผนของการลงคะแนน เราอสาจเห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจหลายประการ
กายภาพของกรุงเทพมหานคร
หากจะแบ่งพื้นที่ของกรุงเทพมหานครเพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของการลงคะแนนเสียงได้ชัดเจน อาจแบ่งเป็นกรุงเทพฯ ชั้นใน ที่เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและความเจริญทางเศรษฐกิจ กรุงเทพฯ รอบนอกซึ่งมีความเจริญกระจายตัวออกไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออก และกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรีหรือทิศตะวันตก
หากยึดตามการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 กรุงเทพฯ ชั้นในประกอบด้วยเขตเลือกตั้ง 7 เขต เขต 1 คือ พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธ์วงศ์ และบางส่วนของดุสิต เขต 2 ประกอบด้วยปทุมวัน บางรัก สาทร เขต 3 ประกอบด้วยบางคอแหลม ยานนาวา เขต 4 ประกอบด้วย คลองเตยและวัฒนา เขต 5 ประกอบด้วยห้วยขวางและดินแดง เขต 6 ประกอบด้วยราชเทวี พญาไท และบางส่วนของจตุจักร เขต 7 ประกอบด้วยบางซื่อ และบางส่วนของเขตดุสิต
ผลการเลือกตั้งเมื่อเทียบกันระหว่าง 4 พรรคใหญ่ คือ พลังประชารัฐ เพื่อไทย อนาคตใหม่ และประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นตามกราฟรูปที่ 1
ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในนี้ พลังประชารัฐได้ไป 5 เขตจาก 7 เขต คือ เขต 1 เขต 2 เขต 4 เขต 6 และเขต 7 เพื่อไทยได้ 1 เขต คือ เขต 5 ส่วนอนาคตใหม่ได้ 1 เขต คือ เขต 3
สมมุติฐานที่ว่า พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ คือฐานคะแนนเสียงกลุ่มอนุรักษนิยม (Conservative) ส่วนเพื่อไทยและอนาคตใหม่ มีฐานคะแนนเสียงจากกลุ่มเสรีนิยม (Liberal) ซึ่งหากในฐานคะแนนเสียงเดียวกันลงคู่กันในเขตเดียวกันจะแย่งคะแนนเสียงซึ่งกันและกันดูเหมือนจะเป็นจริง โดยเห็นได้จากในเขต 3 (บางคอแหลม ยานนาวา) ที่เพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัคร ทำให้อนาคตใหม่ได้รับชัยชนะ ด้วยคะแนนเสียง 28,444 คะแนน เหนือพลังประชารัฐที่ได้คะแนน 25,148 คะแนน และประชาธิปัตย์ที่ได้ 17,029 คะแนน
ส่วนในเขต 1 (พระนคร ป้อมปราบฯ สัมพันธ์วงศ์ ดุสิต) เมื่ออนาคตใหม่และเพื่อไทยลงพร้อมกัน พลังประชารัฐเป็นฝ่ายชนะ ด้วยคะแนนเสียง 23,246 คะแนน ในขณะที่อนาคตใหม่ได้ 18,091 คะแนน เพื่อไทยได้ 15,904 คะแนน ส่วนแชมป์เก่าประชาธิปัตย์ได้อันดับสี่ ที่ 14,348 คะแนน
ในเขต 6 (ราชเทวี พญาไท จตุจักร) เมื่อมีอนาคตใหม่และเพื่อไทยลงพร้อมกัน พลังประชารัฐเป็นฝ่ายชนะด้วยคะแนน 28,690 คะแนน ในขณะที่อนาคตใหม่ได้ 23,980 คะแนน และเพื่อไทยได้ 22,275 คะแนน ส่วนประชาธิปัตย์รั้งอันดับที่สี่ ด้วยคะแนน 16,525 คะแนน
ในเขต 7 (บางซื่อ ดุสิต) มีลักษณะเดียวกันคือ เมื่อเพื่อไทยและอนาคตใหม่ลงพร้อมกัน ชัยชนะจะเป็นของพลังประชารัฐ ด้วยคะแนนเสียง 25,180 คะแนน ในขณะที่เพื่อไทยได้ 23,998 คะแนน อนาคตใหม่ได้ 21,339 คะแนน และอันดับที่สี่ ประชาธิปัตย์ได้ 12,896 คะแนน
เขตชั้นในมีความเป็นอนุรักษนิยม
สูงกว่าเสรีนิยม
แม้พรรคฝ่ายเสรีนิยมจะได้ ส.ส. ในเขตชั้นในมา 2 ที่ใน 7 ที่ จากเขต 3 (เพื่อไทยไม่ส่ง) และเขต 5 (ส่งครบทั้ง 4 พรรค) แต่หากนำคะแนนของแต่ละฝ่ายรวมกัน จะเห็นแนวโน้มบางประการชัดเจนขึ้น (ดูกราฟที่ 2) ดังนี้
ความเป็นอนุรักษนิยม เห็นได้ชัดเจนในเขตเลือกตั้งที่ 1-4 ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความนิยมเอนเอียงไปทางพรรคที่มีนโยบายทางอนุรักษนิยม เนื่องจากพื้นที่ใจกลางเมืองมักจะเป็นผู้อยู่อาศัยเดิม เป็นย่านธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อการชุมนุมทางการเมือง
ดังนั้น การชูคำขวัญในเชิง “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” หรือ “รักความสงบ จบที่ลุงตู่” ดูจะเป็นแนวทางการหาเสียงที่ได้ผลในพื้นที่ดังกล่าว
ในขณะที่เขต 6 กระแสอนุรักษนิยม และกระแสเสรีนิยมดูใกล้เคียงกัน โดยฝ่ายเสรีนิยมสูงกว่าเล็กน้อย ด้วยการเป็นย่านใจกลางเมืองที่เป็นธุรกิจทันสมัย (ราชเทวี พญาไท จตุจักร)
ส่วนเขต 5 แม้เป็นพื้นที่ใจกลางเมือง (ห้วยขวาง ดินแดง) แต่ประกอบด้วยคนจนเมืองที่อยู่กันหนาแน่น ดังนั้น กระแสด้านเสรีนิยมจึงดูรุนแรงกว่า
เช่นเดียวกับเขต 7 (บางซื่อ และดุสิต) ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและมีความเป็นคนชั้นกลางมากขึ้น กระแสด้านเสรีนิยม ก็สูงกว่าอนุรักษนิยมเช่นกัน
ประชาธิปัตย์หายไปไหน
ใน 7 เขตของกรุงเทพฯ ชั้นใน มี ส.ส.เก่าของประชาธิปัตย์ลงถึง 6 เขต คือ เขต 1 เขต 2 เขต 3 เขต 4 เขต 5 เขต 6 ผู้สมัครเหล่านี้ล้วนทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่องในเขตที่ตนเองมีฐานะคะแนนเสียง
แต่คะแนนที่ได้รับกลับเป็นอันดับสาม อันดับสี่ ด้วยคะแนนแค่หมื่นต้นๆ จึงเป็นคำถามที่ชวนสงสัยว่า คะแนนหายไปไหน
คำอธิบายในกรณีดังกล่าว คือ ฐานคะแนนเสียงของประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐ คือฐานคะแนนเสียงของกลุ่มอนุรักษนิยมที่เป็นฐานเดียวกัน
เมื่อมีพลังประชารัฐที่ชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมีแนวทาง “รักความสงบจบที่ลุงตู่” ชัดเจน
ในขณะที่ประชาธิปัตย์ยังไม่ชัดเจนว่าจะเอา พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ การตัดสินใจของคนกลุ่มนี้จึงเอนเอียงไปที่พรรคพลังประชารัฐ
การส่งผู้สมัครแบบมียุทธศาสตร์
กลับมาดูกราฟที่ 1 เขต 2 เขต 3 และ เขต 4 คือเขตที่มีการส่งผู้สมัครแบบมียุทธศาสตร์ของพรรคฝ่ายเสรีนิยม ซึ่งก่อให้เกิดผลสำเร็จในเขตเลือกตั้งที่ 3 และเกือบสำเร็จในเขต 2 และเขต 4
ในขณะที่เขตเลือกตั้งที่ 1 เขต 6 และ 7 หากไม่มีการส่งผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยลงพร้อมกับอนาคตใหม่ ทั้งสามเขตดังกล่าว จะมีโอกาสชนะได้ หากอีกฝ่ายส่งผู้สมัครลงแข่งขันทั้งคู่
เท่ากับว่า หากเพื่อไทยและอนาคตใหม่รู้จักหลีกกันใน 7 เขต ในขณะที่อีกฝ่ายลงทั้งคู่ ฝ่ายเสรีนิยม จะได้ไปทั้งหมด 5 ใน 7 ที่ ของกรุงเทพชั้นใน คือ เขต 1 เขต 3 เขต 5 เขต 6 และเขต 7 เปลี่ยนสัดส่วนจาก 2 : 7 เป็น 5 : 7 หรือแบบตรงกันข้ามทันที
ที่กล่าวมาทั้งหมดกำลังจะบอกว่า ทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม และฝ่ายเสรีนิยมอาจต้องประเมินและคุยกันเองว่า พื้นที่นี้ใครจะหลีกให้ใคร แต่ธรรมชาติของพรรคการเมือง คงยากที่จะมีการหลบหลีก ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นในลักษณะข้างต้นยังน่าจะคงอยู่
(ตอนหน้า วิเคราะห์กรุงเทพฯ ทิศเหนือ ตะวันออก และฝั่งธนฯ)