พัก ‘คาร์ม็อบ-คนม็อบ’ ปรับยุทธศาสตร์ต่อสู้ หยุดนิ่ง จับตา รอคอย จังหวะรัฐบาล การ์ดตก/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

พัก ‘คาร์ม็อบ-คนม็อบ’

ปรับยุทธศาสตร์ต่อสู้

หยุดนิ่ง จับตา รอคอย

จังหวะรัฐบาล การ์ดตก

 

การชุมนุมเคลื่อนไหววันครบรอบ 15 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยกลุ่มมวลชนทั้งคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ แสดงจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านรัฐประหาร ที่สร้างความเสียหายฝังรากลึกถึงปัจจุบัน

วาระครบรอบ 15 ปี 19 กันยายน 2549 จึงสำคัญ

โดยเฉพาะการขับเคลื่อน “คาร์ม็อบ” ฉบับต้นตำรับ โดยนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ อ.ห.ต.

นัดระดมมวลชนทำกิจกรรม “คาร์ม็อบ 19 กันยา ขับรถยนต์ชนรถถัง” ณ ป้อมค่ายอโศก

นำวีรกรรม “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” โชเฟอร์แท็กซี่ขับรถพุ่งชนรถถัง หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาเป็นสัญลักษณ์ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ซึ่งมีรากฐานจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจเช่นกัน

วันนั้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สวมเชิ้ตสีฟ้าชุดเครื่องแบบโชเฟอร์แท็กซี่ สวมวิญญาณ “ลุงนวมทอง” ขับแท็กซี่เขียว-เหลืองพุ่งชน “รถถังจำลอง” ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนอำนาจเผด็จการรัฐประหาร ไม่ว่าในปี 2549 หรือ 2557

กลุ่มมวลชนผู้ชุมนุมยังช่วยกันทุบทำลายรถถังจำลอง อันเป็นการแสดงออกถึงการต่อต้าน

ไม่สยบยอมต่ออำนาจเผด็จการรัฐประหาร

 

“คาร์ม็อบ 19 กันยา ขับรถยนต์ชนรถถัง” ออกจากจุดสตาร์ตป้อมค่ายอโศก ภายใต้การนำขบวนของ “เต้น ณัฐวุฒิ” และ “บก.ลายจุด”

รถยนต์ทุกชนิดและรถจักรยานยนต์เข้าร่วมกิจกรรมคึกคักเต็มถนน

เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าพระราม 4 ผ่านแยกคลองเตย ไปยังสะพานกรุงเทพฯ

แต่เมื่อเคลื่อนถึงถนนพระราม 4 ฝั่งตรงข้ามศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย ตำรวจพบเศษระเบิดปิงปองในจุดเกิดเหตุ พยานชาวบ้านอ้างพบเห็นระเบิดมาจากกลุ่มวัยรุ่นที่ได้รับบาดเจ็บ

ขบวนคาร์ม็อบเดินทางต่อไปยังถนนจรัญสนิทวงศ์ ผ่านถนนบรมราชชนนี เคลื่อนข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า สู่จุดหมายปลายทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

มีการทำกิจกรรม “คลุมผ้าดำ” พานแว่นฟ้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นการเปรียบเปรยประเทศไทยถูกเผด็จการรัฐประหาร “คลุมถุงดำ” มานาน 15 ปี

พร้อมขึงป้ายสกรีนรูปใบหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทายาทสืบทอดเจตนารมณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในนามการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 พร้อมข้อความประณามด้วยถ้อยคำหนักหน่วง

ณัฐวุฒิขึ้นเวทีปราศรัย 15 ปีที่ผ่านมาต้องแลกกับอะไรบ้าง กว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ต้องแลกกับการยึดอำนาจถึง 2 ครั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง เข่นฆ่าประชาชน อุ้มหาย มีการลี้ภัย เพื่อให้ได้ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ

จึงขอประกาศยืนหยัดขับไล่จนกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะพ้นจากอำนาจ

ในวาระครบรอบ 15 ปีรัฐประหาร จึงมาแสดงพลังที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มีคุณค่าและความหมายกับประชาชนแต่ไร้ค่าไร้ความหมายในสายตาเผด็จการ

สมบัติ บก.ลายจุด กล่าวว่า 15 ปีแห่งการรัฐประหารถือเป็นความความล้มเหลวของสังคมไทย สิ่งที่ประชาชนจับต้องได้จากการใช้วิธีนี้แก้ปัญหา กลับทำให้ประเทศไทยถอยหลังวิบัติอย่างไม่เคยมีมาก่อน หากในอนาคตเกิดวิกฤตการเมืองของประเทศอีก หวังว่าจะมีความอดทน

ใช้แนวทางประชาธิปไตยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

 

แม้การชุมนุม “คาร์ม็อบ 19 กันยา ขับรถยนต์ชนรถถัง” จบลงโดยสงบปราศจากความรุนแรง มวลชนชู 3 นิ้วก่อนแยกย้ายเดินทางกลับ

แต่ที่เดือดต่อเนื่องคือการปะทะระหว่างตำรวจหน่วยควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. กับกลุ่มมวลชนอิสระ หรือรู้จักกันในนามกลุ่มทะลุแก๊ส

หลังกิจกรรมคาร์ม็อบยุติ เจ้าหน้าที่ตำรวจประเมินสถานการณ์ว่าจะมีกลุ่มมวลชนจำนวนหนึ่งเดินทางมายังแยกสามเหลี่ยมดินแดงเหมือนเช่นทุกวันตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา จึงจัดวางกำลัง คฝ.เตรียมพร้อมรอรับ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มมวลชนทะลุแก๊สซึ่งมีอิสระในการเคลื่อนไหว ไม่ได้มุ่งตรงไปยังแยกสามเหลี่ยมดินแดงแบบทื่อๆ เพราะรู้จากข่าวที่แจ้งต่อกันมาว่ามีการจัดวางกำลัง คฝ.ป้องกันพื้นที่ไว้แล้ว

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นจุดเริ่มสมรภูมิใหม่ “แยกนางเลิ้ง” ใกล้ทำเนียบรัฐบาล สถานที่ทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ

สมรภูมิแยกนางเลิ้ง แทบจะถอดแบบมาจากสมรภูมิแยกดินแดง ฝ่ายหนึ่งเปิดฉากด้วยพลุ ประทัดยักษ์ อีกฝ่ายหนึ่งโต้กลับด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนยาง ทั้งเกิดเหตุเพลิงไหม้ป้อมตำรวจจราจรโดยไม่ทราบสาเหตุ

เพื่อป้องกันสถานการณ์ลุกลามไปทั่วกรุง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกระจายกำลังออกตั้งด่านสกัดตามจุดต่างๆ บนเส้นทางผ่านจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมายังแยกสามเหลี่ยมดินแดง ไม่ว่าแยกอุรุพงษ์ แยกมักกะสัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น

มีการตรวจค้นรถยนต์ จักรยานยนต์ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมชุมนุมทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาเคอร์ฟิว

จำนวนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไปโรงพัก

 

จากวันนั้นสถานการณ์แยกดินเหมือนจะบรรเทาความดุเดือดลง มีความเคลื่อนไหวบ้างแต่ก็ส่วนน้อยประปราย

เป็นไปได้ว่าหลังการต่อสู้ยืดเยื้อ ต้องคอยวิ่งหลบกระสุนยาง เผชิญพิษแก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำผสมสารเคมี มานานเกือบ 2 เดือน ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเหนื่อยล้าอ่อนแรง

ขณะที่คู่ปรับ คฝ.มีความพร้อมกว่าทั้งกำลังอาวุธ และกำลังเจ้าหน้าที่ กระสุนยางและแก๊สน้ำตาถูกยิงออกมาเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น แนวกำลังสามารถหมุนเวียนสับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ต่างจากฝ่ายผู้ชุมนุมที่ยังเป็นหน้าเดิม กลุ่มเดิม

ที่สำคัญยังมีผู้ถูกจับกุม ถูกยึดรถจักรยายนต์ไปจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีรวมทั้งสิ้น 219 คดี ผู้ต้องหา 797 คน ติดตามจับกุมได้แล้ว 552 คน

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งมวลชนชาวแฟลตดินแดงจำนวนหนึ่ง เรียกร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหามาตรการป้องกันการชุมนุมกลุ่มทะลุแก๊ส อ้างว่าตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา การชุมนุมกลุ่มทะลุแก๊ส สร้างผลกระทบให้ชาวแฟลตดินแดงอย่างมาก

ข้อเรียกร้องดังกล่าว พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ถึงกับเดินทางมารับเรื่องด้วยตัวเอง

ความกระตือรือร้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องนี้ สวนทางคดีเยาวชนอายุ 15 ปี ถูกกระสุนจริงบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบริเวณหน้า สน.ดินแดง ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม ผ่านมากว่า 1 เดือน คดีไร้ความคืบหน้า

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. อ้างว่าพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ท้องที่เกิดเหตุมีงานค่อนข้างเยอะ จึงต้องขอเวลาในการสอบสวน

อย่างไรก็ตาม เรื่องถูกหยิบยกเข้าหารือชั้นคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร มีนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล เป็นประธาน

เพื่อเร่งตรวจสอบค้นหาความจริง โดยมีหลักฐานค่อนข้างชัดในการคลี่คลายคดี นำไปสู่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุอาจเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดชี้ให้เห็นความเชื่อมโยง เป็นการกระทำของกลุ่มบุคคลเดียวกัน

กรรมาธิการแจ้งให้ตำรวจมาชี้แจงข้อเท็จจริง โดยขอให้กระตือรือร้นเหมือนเวลาไล่จับผู้ชุมนุม

เมื่อมวลชนอ่อนล้า กำลังคนร่อยหรอ กลุ่มทะลุแก๊สถอยกลับมาตั้งหลัก สรุปบทเรียนปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ใหม่

รอจังหวะเหมาะเคลื่อนไหวอีกครั้ง

 

หลังผ่านวาระครบรอบ 15 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อาจเห็นได้ว่าสถานการณ์ม็อบต่างๆ เริ่มเบาลง

ส่วนหนึ่งอาจมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มดีขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงจาก 2 หมื่นกว่า เหลือหลักหมื่นต้นๆ ทำเป้าโจมตีรัฐบาลหดเล็กลง

ประกอบกับสังคมส่วนใหญ่ต้องการหยุดรอดูสถานการณ์ภายในรัฐบาล ที่เกิดรอยปริแตกขัดแย้งกันเองภายในระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลโดยรวม กระทั่งเกิดกระแสข่าวเตรียมยุบสภาเลือกตั้งใหม่ในเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้ อันเห็นได้จากการออกมาขยับของพี่น้อง 2 ป. ที่แยกวงกันเดินสายลงพื้นที่ต่างจังหวัดพบปะประชาชน พร้อมเช็กขุมกำลัง ส.ส.ในสายของตนเองไปในตัว

จากสถานการณ์พรรคแกนนำรัฐบาลสะดุดขาตัวเอง นายกฯ หวุดหวิดหัวคะมำ เป็นจังหวะที่บรรดากลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ แอบลุ้นรัฐบาลอาจพังครืน โดยประชาชนไม่ต้องออกมาก่อม็อบชุมนุมขับไล่

อย่างที่หลายคนพูดจากประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองว่า ม็อบบนท้องถนนไม่อาจโค่นล้มรัฐบาลได้ รัฐบาลส่วนใหญ่ที่ล้มก็เพราะเดินสะดุดขาตัวเองทั้งนั้น

อีกทั้งการชุมนุมขับไล่รัฐบาลตามแนวทางสันติวิธี คือการต่อสู้ยืดเยื้อ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน ไม่สามารถเผด็จศึกได้ในเร็ววันหรือรู้ผลแพ้ชนะในทันที ต้องรอจนกว่ารัฐบาลเผลอทำการ์ดตก จึงฉวยโอกาสเข้าทำ

การหยุดอยู่นิ่งชั่วคราวของม็อบเพื่อรอดูความเคลื่อนไหวเป็นไปของ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล

จึงเป็นยุทธวิธีต่อสู้อย่างหนึ่ง