ภารกิจพัฒนา ‘กีฬาไทย’ ‘ลุงป้อม’ยกย่องขุนพลโอลิมปิก สร้างความสุขให้คนทั้งชาติ ทำสำเร็จดัน ‘มวยไทย’ เข้าไอโอซี

นับเป็นการสร้างความสุขให้ชาวไทยได้อย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว สำหรับผลงานของนักกีฬาไทยในการแข่งขัน โอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

สร้างรอยยิ้มให้ได้ในยามที่ทุกข์และเครียดจากปัญหาโรคระบาดโควิด-19

โดยทัพนักกีฬาไทย สร้างผลงานได้ 1 เหรียญทอง จากน้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จากเทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัม หญิง และ 1 เหรียญทองแดง จากน้องแต้ว สุดาพร สีสอนดี จากกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิง

เป็นการ “สร้างประวัติศาสตร์” ไม่ว่าจะเป็นเหรียญทองเทควันโดแรก หรือเหรียญจากมวยสากลหญิง เหรียญแรก

แน่นอนว่าแม้จะไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุดของนักกีฬาไทย แต่ก็ทำให้ชาวไทยได้ชุ่มชื่นหัวใจ

เป็นที่ประจักษ์ว่า ผลงานขุนพลสู้ศึกโอลิมปิก โตเกียวเกมส์ของไทยในเกมกีฬาแต่ละประเภทนั้นล้วนแล้วแต่เกิดจากความมุ่งมั่นฝึกซ้อมด้วยความทุ่มเท และมีสมาคมกีฬาต่างๆ ที่เดินหน้าพัฒนายกระดับมาตรฐานขึ้นมาให้เทียบเท่าสากล

ขณะเดียวกัน ก็ยังได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือ โดยคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวเรือใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ ที่วางนโยบายและกรอบแผนงานการทำงานที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมสนับสนุน ในทุกๆ มิติ เพื่ออำนวยความสะดวกและเสริมศักยภาพให้กับทุกประเภทชนิดกีฬา

โดยในส่วนของการทำงาน “เชิงนโยบาย” มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการกีฬาแห่งประเทศไทย ไปเป็นผู้ปฏิบัติ

ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียว พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ดูแลความเป็นอยู่ สวัสดิการ และให้กำลังใจนักกีฬา พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ทำผลงานอย่างเต็มที่ เพื่อความภาคภูมิใจของคนไทยและประเทศไทย

ซึ่งก็สะท้อนออกมาจากเสียงของนายธนา ไชยประสิทธิ์ หัวหน้าคณะนักกีฬาไทย ที่ยืนยันความพร้อมนักกีฬาทีมชาติไทย ทุกคนมีขวัญและกำลังใจที่ดี พร้อมสร้างผลงาน

กระทั่งผลลัพธ์สรุปออกมา คือ 1 เหรียญทองและ 1 เหรียญทองแดง

สำหรับการแข่งขันเทควันโด ซึ่งพล.อ.ประวิตรที่ติดตามการแข่งขันของน้องเทนนิส มาโดยตลอด รวมถึงชัยชนะใน 7 วินาทีสุดท้าย ได้ชื่นชมและแสดงความยินดี โดยระบุว่า เป็นการต่อสู้ที่ตื่นเต้นและสูสีมาก

ผลงานที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ไหวพริบและความมุ่งมั่นของน้องเทนนิส พร้อมทั้งถือโอกาสขอบคุณทีมงาน โค้ช และสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนให้การฝึกซ้อมนักกีฬาอย่างอุตสาหะต่อเนื่อง แม้จะประสบปัญหาจากโควิด-19 ก็ตาม

ไม่เพียงแค่นั้น นอกเหนือจากคำชื่นชมและกำลังใจ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยก็พร้อมดูแลในเรื่องรางวัลเชิดชูเกียรติ ซึ่งกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ กำหนดให้รางวัลเหรียญทอง 12 ล้านบาท เหรียญเงิน 7,200,000 บาทและเหรียญทองแดง 4,800,000 บาท

นอกจากนั้น คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ยังกำหนดให้เงินรางวัลเป็นรายเดือนแก่นักกีฬาเหรียญโอลิมปิก รวม 20 ปี

เหรียญทองได้รับเดือนละ 12,000 บาทรวมเป็นเงิน 2,880,000 บาท และเหรียญทองแดงเดือนละ 8,000 บาท รวมเป็นเงินราว 1,920,000 บาท ทำให้รวมเงินสนับสนุนจากทุกฝ่ายแล้ว พาณิภัค จะได้เงินจากความสำเร็จครั้งนี้เกือบ 22 ล้านบาท ขณะที่ “น้องแต้ว”รับไม่น้อยกว่า 13 ล้านบาท

เป็นรางวัลที่สะท้อนให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนมองเห็นความสำคัญของนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศอย่างเต็มที่!

อย่างไรก็ตาม หลังจากจบการแข่งขัน เมื่อมีการ “สรุปบทเรียน” เพื่อเตรียมพัฒนาต่อไป

การกีฬาแห่งประเทศไทย โดย ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. ก็ระบุว่า แม้จะได้เหรียญไม่ตรงตามเป้า แต่ต้องขอบคุณนักกีฬาที่สร้างความสุขให้คนไทย นักกีฬาหลายคนเกือบคว้าเหรียญได้ ต้องผลักดันพวกเขาต่อไป

โตเกียวเกมส์ครั้งนี้ถือเป็นโอลิมปิกเกมส์ของนักกีฬาทีมชาติไทยหน้าใหม่ มากถึง 27 คน (65.85%) และนักกีฬาที่มาแข่งขันโอลิมปิกเกมส์หนแรก ทำผลงานได้น่าสนใจทีเดียว โดยเทียบผลงานแล้วปรากฏว่า นักกีฬาที่พัฒนาศักยภาพได้ดีขึ้นถึง 27 คน 65.85 เปอร์เซ็นต์

“เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนักกีฬา นักกีฬารุ่นใหม่ๆ ทำผลงานได้ดีขึ้น อาทิ เทเบิ้ลเทนนิส, ยิงเป้าบิน, ขว้างจักร มวยสากลสมัครเล่นหญิงที่ได้โควตา 3 คน และผ่านเข้าถึงรอบ 8 คน ได้ถึง 2 รุ่น ซึ่ง กกท. จะนำข้อมูลต่างๆ สถิติ ปัญหาอุปสรรค ประมวลเพื่อจะได้นำเสนอไปยังรัฐบาล ได้พิจารณาถึงรายละเอียดเพื่อเตรียมพร้อมในอีก 3 ปีข้างหน้าสำหรับปารีสเกมส์ 2024” ดร.ก้องศักด กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่น่ายินดี เมื่อคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) มีมติเห็นชอบยอมรับ “มวยไทย” เข้าเป็นสมาชิกของไอโอซี

หมายความว่าในอนาคตข้างหน้า “มวยไทย” อาจได้บรรจุเข้าชิงเหรียญทองมหกรรมกีฬาระดับโลก

ซึ่งตรงกับนโยบายหลักของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร ที่สั่งการให้ขับเคลื่อนแนวทางผลักดัน “กีฬามวยไทย สู่โอลิมปิก” พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน โดยให้มีการประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อสนับสนุนกีฬามวยไทยที่เป็นของคนไทย ให้สามารถสร้างชื่อเสียงสู่เวทีโลก

รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงองค์กร ซึ่งเป็นผลจากการประเมิน ปี 2563 อาทิ การพัฒนาศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ และศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อต่อยอดไปสู่การเป็นศูนย์กลางการฝึกซ้อมกีฬา (Sport Training Hub) ในอาเซียน และการพัฒนากีฬาอาชีพ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับนักกีฬาได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ หลังจากจบศึกโอลิมปิกเกมส์ขุนพลนักกีฬาไทยยังมีภารกิจสำคัญ นั่นคือมหกรรมกีฬาคนพิการ “พาราลิมปิกเกมส์”ที่ประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกัน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวเชิญชวนคนไทย ร่วมส่งแรงเชียร์นักกีฬาพาราลิมปิก เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่นักกีฬาทุกคนทุกประเภท ให้กองทัพนักกีฬาทีมชาติไทยพิชิตชัยชนะ และสร้างชื่อเสียงกลับสู่ประเทศไทยได้ อย่างภาคภูมิใจ เหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา

“การออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬามีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งเด็กและเยาวชนควรหันมาเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอเพื่อห่างไกลยาเสพติดและสามารถพัฒนาก้าวสู่ระดับชาติ หรือเป็นอาชีพได้อีกทางหนึ่งขอเชิญชวนคนไทยเข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมการกีฬาของไทยด้วยการติดตามผลงาน การเชียร์และให้กำลังใจนักกีฬาไทยผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ” พล.อ.ประวิตร กล่าว •