ถ่ายทอดยูโร-เศรษฐกิจและวัคซีน/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน(ฉบับประจำวันที่ 11-17 มิถุนายน 2564 ฉบับที่ 2130)

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ถ่ายทอดยูโร-เศรษฐกิจและวัคซีน

 

แน่นอนว่าเกมการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ดึงดูดคนดูได้มากที่สุด คือเวิลด์คัพ หรือฟุตบอลโลก ซึ่งเป็นเกมฟุตบอลที่รวมทีมบอลของประเทศที่เก่งกาจทั่วทุกทวีปในโลกมาชิงชัยด้วยกัน

ถัดจากบอลโลก ก็หนีไม่พ้นบอลยูโร หรือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ซึ่งเป็นการรวมทีมจากชาติที่ยอดเยี่ยมในทวีปยุโรป แม้จะขาดทีมบอลจากทวีปอื่น แต่ก็นับเป็นทวีปที่มากด้วยนักบอลซูเปอร์สตาร์ล้นสนาม

ขณะที่บอลชิงแชมป์ของทวีปอื่นๆ จะได้รับความนิยมลดหลั่นลงไป ได้แก่ โคปาอเมริกา ซึ่งเป็นการชิงแชมป์ของทวีปอเมริกาใต้ โดยมีทีมชาติที่ยิ่งใหญ่ในบอลโลก ได้แก่ บราซิล อาร์เจนตินา อุรุกวัย รวมอยู่ในโคปาอเมริกานี้ แต่ก็ได้รับความนิยมน้อยกว่ายูโร

นอกจากนั้น แอฟริกาเนชันส์คัพ หรือชิงแชมป์ทวีปแอฟริกา ไปจนถึงเอเชียนคัพ หรือบอลระดับชาติของประเทศในอาเซียน ก็เรียกคนดูได้เป็นลำดับถัดไป

ดังนั้น อันดับ 1 และอันดับ 2 ในโลกนี้ ต้องยกให้เวิลด์คัพ และยูโรนั่นเอง

วันนี้ศึกบอลยูโรหรือชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือน้องๆ บอลโลก เริ่มฟาดแข้งกันแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ไปจนถึง 11 กรกฎาคม เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม

จะใช้คำว่าสิ้นสุดการรอคอยก็ย่อมได้ เพราะรอคอยกันมายาวนานข้ามปี

เนื่องจากบอลยูโรหนนี้ต้องเตะกันตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เกิดการระบาดหนักของโควิดจนต้องงด ก่อนได้โอกาสมาจัดในปีนี้ ยูโร 2020 จึงต้องจัดในปี 2021 แทน

ความที่เป็นทัวร์นาเมนต์ ซึ่งประชาชนคนไทยให้ความสนใจกันมาก ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยเราก็ดูฟุตบอลสโมสรของลีกในประเทศยุโรปเป็นหลักอยู่แล้ว

ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้นเมื่อบอลยูโร 2020 เปิดฉากขึ้นก็คือ ทำไมจึงไม่มีการถ่ายทอดสดทางทีวีให้คนไทยได้ดูกันเหมือนที่ผ่านๆ มา!?

คำตอบง่ายๆ คือ สภาพเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก สถานการณ์โควิดก็ยังไม่คลี่คลาย จึงไม่มีใครกล้าลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดยูโรในหนนี้ เพราะคงยากที่จะหาสปอนเซอร์มาร่วมสนับสนุนการถ่ายทอดสดได้

เจ้าใหญ่เจ้าเล็กเจ๊งกันหมด หรือที่ยังไม่เจ๊งก็ต้องระมัดระวังเต็มที่

บอลยูโรจึงเป็นเครื่องสะท้อนภาพเศรษฐกิจ และประเด็นการคลี่คลายโควิดได้ดีทีเดียว!

 

ที่ว่าบอลยูโรอธิบายสภาพเศรษฐกิจและการคลี่คลายโควิดนั้น เห็นได้จากประเทศในยุโรป ซึ่งในการระบาดระลอกแรกเมื่อต้นปี 2563 แพร่ขยายการติดเชื้ออย่างน่ากลัว โรงพยาบาลรับรักษาไม่ทัน ตัวเลขคนป่วยคนตายเกลื่อนกลาด

แต่ยุโรปตั้งตัวได้เร็วและถูกจุด นั่นคือการจัดหาวัคซีน

ในการระบาดหนแรก คนไทยสไตล์ขวาจัดเกลียดชังประเทศประชาธิปไตย ออกมาโจมตีประเทศยุโรปที่คุมโควิดไม่อยู่อย่างหนัก ว่านี่แหละประชาธิปไตยเสรี ทำให้ควบคุมคนไม่ได้ เลยเกิดระบาดไปทั่ว ตายกันจนไม่มีที่เก็บที่ฝัง

คุยโม้ว่ารัฐบาลกึ่งประชาธิปไตยกึ่งทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละ ที่ควบคุมการระบาดได้อยู่หมัด ประเทศไทยมีชื่อเสียงในทางที่ดี มีสาธารณสุขที่เข้มแข็ง

แต่ปลายปี 2563 ต้นปี 2564 ชาติยุโรปเริ่มจัดหาวัคซีนได้จำนวนมาก ระดมฉีดให้ประชาชนอย่างหนัก มีงบประมาณก็ทุ่มเทไปยังบริษัทผู้ผลิตวัคซีน จนได้เร็วได้มากและได้คุณภาพ

ตรงกันข้ามกับไทย หน้าระรื่นว่าควบคุมการระบาดได้ ส่วนวัคซีนก็มีวาระพิเศษ คือต้องรอแอสตร้าเซนเนก้ามาผลิตร่วมกับสยามไบโอไซเอนซ์เท่านั้น จะเริ่มผลิตได้และเริ่มฉีดได้ในเดือนมิถุนายน

นี่คือเป้าหมายการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลไทย ที่วางเป้าเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี 2564 ว่าคนไทยจะได้ฉีดในเดือนมิถุนายน โดยใช้ยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้าเท่านั้น

จึงเกิดคำถามทันทีว่า นี่คือการแทงม้าตัวเดียวใช่ไหม ทำไมถึงไม่เร่งระดมจองหลากหลายยี่ห้อ และเอาเข้ามาให้เร็ว แต่รัฐบาลไม่ฟัง และตอบโต้คนวิจารณ์อย่างแข็งกร้าว

สุดท้ายปลายปี 2563 เกิดการระบาดระลอก 2 ในต้นปี 2564 ระบาดระลอก 3 คราวนี้คุมไม่อยู่ ตัวเลขคนป่วยคนตายพุ่งพรวด แต่วัคซีนยังไม่มี เพราะรอม้าตัวเดียวเท่านั้น จึงต้องเร่งระดมวัคซีนซิโนแวคจากจีนเข้ามาขัดตาทัพ ฉีดกันทุลักทุเล

ขณะที่ยุโรปซึ่งคุมไม่อยู่ในระลอกแรก แต่แก้ถูกจุด คือทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ได้วัคซีน ผลก็คือ ต้นปี 2564 ยุโรปเริ่มฟื้น เริ่มกลับมาปกติ เศรษฐกิจก็เริ่มดำเนินการได้ และบอลใหญ่ระดับยูโรก็กลับมาจัดได้

ส่วนไทยเรา ต้นปี 2564 เป็นต้นมา สภาพดำดิ่ง ตรงกันข้ามกับยุโรป เพราะหัวใจหลักคือวัคซีนล่าช้า แทงม้าตัวเดียว การจัดงบประมาณยังวุ่นอยู่กับจัดซื้ออาวุธ ไม่ทุ่มมาซื้อวัคซีนสุดๆ

วันนี้คนไทยเราจึงต้องตั้งการ์ดใส่หน้ากากนั่งรอคิววัคซีน แล้วนั่งดูบอลยูโร ดูชาวยุโรปเขามีความสุข มีชีวิตกลับมาปกติ

ที่สำคัญเศรษฐกิจทรุดลงไปเรื่อยยังไม่มีทีท่าฟื้นเพราะวัคซีนล่าช้า จนถึงขั้นไม่มีใครกล้าลงทุนซื้อการถ่ายทอดทีวีให้ดูเป็นหนแรกในรอบกว่า 30 ปี!

 

ย้อนไปสมัยที่วงการทีวีไทยยังไม่พัฒนา เริ่มถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมาให้คนไทยได้ดูกันประมาณช่วงปี 2510 โดยเริ่มถ่ายเฉพาะนัดชิงแชมป์ ต่อมาขยับขยายเป็นถ่ายนัดเปิดสนามกับนัดชิง แล้วขยับเป็นนัดเปิด รอบตัดเชือก แล้วนัดชิง

สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้นำกองทัพ เคยสร้างความฮือฮา เพราะบอลโลกหนนั้นเร้าใจมาก คนไทยร่ำร้องอยากดู ขณะที่กำหนดถ่ายทอดแค่นัดเปิดสนามกับนัดชิงเท่านั้น เลยมีคำสั่งจากบิ๊กจิ๋วให้ช่อง 5 กองทัพบก ถ่ายสดตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปจนถึงนัดชิง ทำเอาบิ๊กจิ๋วกลายเป็นขวัญใจชาวบ้านไปในทันที

ต่อมาการถ่ายทอดสดบอลโลกกลายเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทย นำมาสู่การถ่ายทอดสดแบบครบทุกแมตช์ มีเอกชนลงทุน มีสปอนเซอร์พร้อม รวมทั้งขยายไปถ่ายทอดสดบอลยูโรด้วย เพราะคนไทยนิยมไม่แพ้กัน

คนไทยได้ดูบอลโลกและบอลยูโรแบบครบทั้งทัวร์นาเมนต์ จนเป็นเรื่องปกติ

จึงกล่าวได้ว่า บอลยูโรหนนี้เป็นครั้งแรกของประเทศไทยในรอบกว่า 30 ปี ที่ไม่มีการถ่ายทดสดบอลยูโรมาให้ดูกัน สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจ อันทำให้ไม่มีใครกล้าลงทุน เพราะคงไม่มีสปอนเซอร์มาร่วมสนับสนุนได้เพียงพอ

ยุโรปฟื้นคนปกติ จนจัดเกมบอลใหญ่ได้ เพราะเขาจัดหาวัคซีนตั้งแต่เริ่มผลิตเสร็จ จัดหนักจัดมามาก พร้อมคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนได้ฉีดอย่างมากที่สุด จนทำให้ทุกอย่างกลับมาปกติ ส่งผลต่อเศรษฐกิจการค้าไปในทันที

ส่วนไทยเราก็เพราะการจัดหาวัคซีนนั่นแหละ คือปัจจัยชี้ขาด

ฟุตบอลยูโรที่กำลังเริ่มฟาดแข้ง จึงเป็นคำตอบของวัคซีนและเศรษฐกิจได้ชัดแจ้ง

คนไทยเราก็ต้องหาช่องทางในการดูถ่ายทอดบอลยูโรกันไปเอง

แต่พร้อมๆ กัน เหมือนการสวนกระแสเศรษฐกิจและความยากลำบาก นั่นคือกิจกรรมร่วมสนุกจากเครือมติชนและข่าวสด

เป็นกิจกรรมให้ผู้อ่านตัดคูปองในหนังสือพิมพ์ข่าวสด มติชน ประชาชาติธุรกิจ กรอกชื่อทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน ว่าเชียร์ทีมไหนเป็นแชมป์ แล้วส่งมาชิงรางวัลมากมาย

ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ทองคำ โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ

สวนกระแสเศรษฐกิจที่ตกต่ำจนกระทั่งไม่มีผู้ลงทุนถ่ายทอดบอลยูโรมาให้ดูกัน!!

 

หมายเหตุ

(บทความนี้เขียนก่อนรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายกลับมาถ่ายทอดสด)