ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ |
เผยแพร่ |
นพ.พรหมินทร์-ดร.คณาพจน์ 2 มุมมอง 2 วัยเพื่อไทยดิสรัปต์ตัวเองอย่างไรให้ครองใจคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น
ก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยได้พยายามรีแบรนด์หลายอย่างทั้งในทางโซเชียลมีเดีย และภายในพรรค
ซึ่งแน่นอนว่า การดิสรัปชั่นในยุคนี้คือคีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุดในการอยู่รอด อยู่ได้ และอยู่ต่อไป
มติชนสุดสัปดาห์จึงชวน 2 บุคคลที่เป็นคีย์แมนสำคัญในการปรับขบวนทัพภายในพรรคเวลานี้มาฉายภาพว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายใน?
เริ่มที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่เล่าย้อนจุดแข็งสำคัญตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมาโดยความเข้มแข็ง คือเป็นที่พึ่ง เป็นความหวัง และเป็นศรัทธาของประชาชน เป็นข้อพิสูจน์ในทุกการเลือกตั้งทุกครั้งจนถึงวันนี้ ที่ได้คะแนนสูงสุดในสภาเสมอ
จากจุดแข็งคือการมีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาของประเทศ ประชาชน ที่จับต้องได้ แต่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 มันกำหนดกติกามาแบบนี้ แม้เราจะมีเสียงชนะเลือกตั้ง แต่ก็ถูกจำกัดบทบาท
ประกอบกับในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ยุค คสช. มันมีอะไรเปลี่ยนไปพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เยาวชนต่างๆ ที่ถูกเร่งด้วยความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ต้องมองไปไกล แค่ ClubHouse ในห้วงที่ผ่านมาเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราต้องให้ความสนใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
ความแตกต่างระหว่างคนรุ่นก่อน คือ เขาจะมีประสบการณ์แบบหนึ่ง เช่น ความรอบคอบระมัดระวังมากกว่า
แต่จุดแข็งของคนรุ่นใหม่คือความเร่าร้อน มีความคิดริเริ่ม ไม่ติดกรอบ ไม่มีข้อบังคับ เขาก็มีพลังที่สร้างสรรค์ได้มากกว่า
เราเองก็เลยคิดว่าความเข้มแข็งนี้ เราจะนำเสนอได้อย่างไรบ้าง
นี่คือเหตุผลสำคัญในการปรับทัพและผนึกกำลังคนรุ่นเดิมที่มีความเข้มแข็ง มีประสบการณ์ยึดโยงกับประชาชน ควบคู่กับการระดมหาคนใหม่ๆ เข้ามาร่วมกัน disruption
จึงเกิดโครงการ The Change Maker เป็นแพลตฟอร์ม คิดเพื่อไทย
เราต้องระดมคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความปรารถนาอยากจะแก้ปัญหาบ้านเมืองมาใช้ความคิด หากลไกวิธีการที่จะถ่ายทอดความรู้
แล้วก็มี workshop ให้โจทย์ แล้วก็มีกระบวนการการทำงานร่วมกับคนมีประสบการณ์ ในการช่วยคิดนโยบายและไปทดลองทำจริงในพื้นที่
สิ่งที่เราปรับไปแล้ว คือเรื่องของวิธีการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ๆ จะต้องมีวิธีการแปลกแตกต่างออกไป
จะเห็นได้จากการปรับภาพลักษณ์สำคัญของสื่อในพรรคทั้งหมด ที่เห็นได้ชัดมาก ทั้งกราฟฟิกและรูปแบบต่างๆ
ประการสุดท้าย คือ ส.ส.ในสภาที่เรามี อดีตเราจะใช้ข้อมูลไม่เยอะแต่ใช้ฝีปาก แต่เราจะเห็นได้ว่าครั้งนี้พรรคเพื่อไทยปรับตัวอย่างมาก เรามีการเตรียมการซ้อมต่างๆ เพื่อนำเสนอ
วันนี้เรากล้าพูดได้เต็มที่เพราะผลงานออกมาเป็นที่ประจักษ์ต่อทุกท่าน ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เช่น ที่เลขาธิการพรรคพูดเรื่องทุจริตถุงมือยาง ชัดเจนด้วยหลักฐานที่ดิ้นไม่หลุด
ส.ส.ร้อยเอ็ด จิราพร สินธุไพร ก็นำเสนอเรื่องของการเอาทรัพย์สินของประเทศชาติไปแก้ความบกพร่องของนายกรัฐมนตรี
เรามีอีกหลายเรื่องที่รอวันปล่อยของออกมา หลายเรื่องประชาชนจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้เต็มที่
สําหรับเด็กรุ่นใหม่ที่อาจจะเกิดไม่ทันยุคไทยรักไทย นพ.พรหมินทร์มองว่า การสื่อสารคือเรื่องสำคัญ การที่นำเสนอเรื่องราวต่างๆ ในอดีตที่เคยทำ ที่เด็กรุ่นใหม่ไม่เคยทราบมาก่อน ทำให้เขาตื่นเต้นกับข้อมูล
เช่น เราเล่าเรื่องที่มาของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน เด็กก็สนใจว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ
ในอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เคยใช้การต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ โดยการเดินเกมแบบมียุทธศาสตร์
ผมกล้าพูดได้ว่าในช่วงนั้น เป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ปรากฏในแผนที่โลก เดิมทีเขาเรียกชื่อเรายังไม่ถูกเลย แต่เราทำให้ประเทศมีความสง่าผ่าเผย ถูกยอมรับในเวทีสากลเกือบทั่วโลกเพราะมียุทธศาสตร์ ทำให้โลกทั้งโลกกลายเป็นตลาดของคนไทย
สิ่งเหล่านี้เราใช้กลยุทธ์ในการเล่าเรื่อง จะเห็นได้ว่าเราเริ่มมีรายการ Podcast เสือตัวที่ 5 ในอดีตเราเคยเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่ตอนนี้เรากลายเป็นที่ 5 นับจากท้าย จากนี้ไปในรายการเราเอาคนเก่าๆ มาเล่าเรื่องประยุกต์แนวคิด เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
ใช้ความสำเร็จในอดีตถอดบทเรียน แล้วก็เร็วๆ นี้จะมีคาราวานเข้าไปหาประชาชนด้วย
หมอมิ้งมอง Change Maker ว่าทุกคนสามารถกำหนดความเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้ได้ โดยจะระดมคนที่มีความมุ่งมั่นปรารถนา มาร่วมกันทำงาน
จะทำเหมือนรายการ The Voice ที่ประกวดร้องเพลงให้คนมีความสามารถเข้ามา มีการคัดครูพี่เลี้ยง เอาเด็กมาแข่งขันกัน มาเข้าค่ายประกวดกัน เพื่อพัฒนานโยบาย ซึ่ง Project ที่ออกมาก็ได้รับการคัดเลือกนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
สำหรับการที่คนรุ่นใหม่มีความปรารถนาไกลถึง “ทะลุเพดาน” นั้น มองว่าทุกคนมีความปรารถนาได้ มีความฝันได้ อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ
รุ่นพวกผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่เรารู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง มีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องทำอย่างรอบคอบ
การที่สามารถดำรงอยู่และเดินไปได้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเป็นประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่ย่อมเป็นที่ต้อนรับของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น เริ่มแรกอาจจะดูรุนแรง แต่การขายเสนอความคิด แรงเกินไปก็อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ
ดูตัวอย่างกาลิเลโอบอกว่าโลกกลม ขัดกับศาสนจักรที่มีอิทธิผลเชื่อว่าโลกแบน กาลิเลโอบุกก็ถูกจับไปขัง กว่าจะถูกยอมรับก็หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะเกิดขึ้น ต้องรับฟัง นำมาประยุกต์ใช้ อย่างมีกลวิธี ว่าจะทำอย่างไรให้คนยอมรับ ทำแบบไหนให้มีคนเชื่อ เรามุ่งที่ผลสำเร็จที่เป็นจริง ไม่ได้มุ่งไปแค่ให้ได้พูด สังคมต้องลองฟังด้วย
ด้าน ดร.คณาพจน์ โจมฤทธิ์ ผู้อำนวยการโครงการคิดเพื่อไทย มองว่า ถ้าพรรคกล้า disruption ตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมคิดว่าโครงการนี้จะเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่พรรคเพื่อไทยขาดหายไป คือการเชื่อมโยงระหว่างความคิดไอเดียต่างๆ ระหว่างคนรุ่นใหญ่กับคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่เราจะเติมเต็มให้เกิดขึ้นได้จริงในสังคมปัจจุบัน
ผมคิดว่าเรามีพื้นที่เปิดกว้างมาก ผู้ใหญ่ในพรรคเองก็พร้อมจะเปิดกว้าง เพื่อทำให้เกิด input ใหม่ๆ ทางการเมือง ทั้งกระบวนการวิธีคิดและบุคลากรใหม่ๆ
ผมคิดว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเปลี่ยนตรงนี้ได้ คนเชื่อมั่นในพรรคเรามากขึ้น ว่าจะเป็นพื้นที่ที่คุณสามารถจะแสดงความคิดเห็น เข้ามาปล่อยของ เพื่อผลักดันไปสู่การเกิดนโยบายต่างๆ ที่ดีต่อในสังคมไทยได้
The Change Maker จะเป็นนวัตกรรมที่พรรคเราจะทำที่แรก เพื่อดึงคนเข้ามาร่วมแสดงออกทางความคิดได้
ในอดีตที่บางทีคนมีความรู้ความสามารถ แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงพรรคการเมืองหรือไม่สามารถจะหาตัวกลางที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างสังคมกับพรรคการเมืองได้
ผมเลยคิดว่าโครงการนี้โดยทีมคิดเพื่อไทยเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่จะสามารถออกไอเดียเสริมความคิด ให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งโครงการนี้เราอยากมีเป้าหมายให้เกิด 2 สิ่งคือ
1. บุคลากรใหม่ทางการเมือง
ผมมองว่าเยาวชนคนรุ่นใหม่มีหลายคนอยากมีส่วนร่วมทางการเมืองแต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี และเขาอาจจะยังไม่มั่นใจว่าเขามีความสามารถที่เพียงพอในการทำงานการเมืองหรือเปล่า ผมเลยคิดว่าโครงการนี้จะเป็นกลไกหนึ่งที่จะเป็นเครื่องมือทำให้เขาสามารถที่ไปสู่เส้นทางการเมืองได้ โดยสามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีประสบการณ์ เข้าถึง ส.ส.ที่มีความรู้ความสามารถ เข้าถึงนักวิชาการ นักคิด นักสร้างสรรค์ไอเดียที่จะสามารถทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพ
2. สังคมไทยจะได้สร้างบทสนทนา การเมืองใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ การที่มีคนรุ่นใหม่มาผนวกกำลังเข้ามากับคนรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์ในพรรคเพื่อไทยนี่คือจุดแข็งที่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นก็จะมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2544 ยุคไทยรักไทย เป็นพรรคเดียวที่ทำให้นโยบายต่างๆ สำเร็จได้นี่คือจุดแข็ง
ถ้ามีคนใหม่เข้ามาผนึกกับ ส.ส. และทรัพยากรที่เรามีมันจะทำให้เราสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับทางการเมืองไทยได้
สุดท้ายข้อเรียกร้องของประชาชนที่ออกมา คือเขาอยากกินดีอยู่ดีขึ้น มีเงินในกระเป๋ามากขึ้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนตั้งแต่ในอดีต คือการมีประชาธิปไตยที่กินได้นี่คือจุดเด่น
แล้วถ้าการเมืองดี ทุกอย่างมันจะดี ชีวิตความเป็นอยู่ การทำงานทุกอย่าง บางคนอาจจะมุ่งการเมืองอย่างเดียวโดยไม่สนถึงปากท้อง แต่พรรคเราเน้นจุดยืนที่ชัดเจนว่ามันต้องกินได้ เศรษฐกิจคุณต้องสนใจ ผมคิดว่าเป็นบทเรียนที่จะต้องเรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา
แล้วสิ่งที่ต้องเพิ่มเติมเข้าไปคือ พื้นที่เปิดกว้างให้กับคนรุ่นใหม่
ชมคลิป