ประชาธิปไตย vs เผด็จการ บทเรียนจากรัฐประหารทรัมป์ / สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

สุรชาติ บำรุงสุข

 

ประชาธิปไตย vs เผด็จการ

บทเรียนจากรัฐประหารทรัมป์

 

“สหรัฐอเมริกาไม่เคยถูกทำลายจากภายนอก ถ้าเราเดินเซและสูญเสียเสรีภาพของเรา ก็จะเป็นเพราะเราทำลายตัวเราเอง”

ประธานาธิบดีลินคอล์น

 

แม้การบุกยึดรัฐสภาอเมริกันในวันที่ 6 มกราคม 2021 (ตามเวลาในสหรัฐ) จะจบลงแล้ว พร้อมกับการจากไปของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อันเป็นเสมือนกับการ “สิ้นสุดยุคทรัมป์” หรืออาจจะต้องเรียกว่า “The End of Trump Era” และตามมาด้วยการก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน อย่างเป็นทางการด้วยพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม

แต่หากย้อนกลับไปแล้ว หลายท่านที่เห็นภาพข่าวที่เกิดขึ้นคงอดตกใจอย่างมากกับการเมืองอเมริกันในช่วงปลายยุคทรัมป์ไม่ได้… เป็นไปได้อย่างไรที่จะเกิดการบุกรัฐสภาอเมริกันของฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าทรัมป์จะสามารถปลุกกระแสขวาจัด (far right) จนนำไปสู่การบุกยึดรัฐสภาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การสื่อสารทางการเมืองของทรัมป์ทำให้คนในสังคมอเมริกันส่วนหนึ่งเชื่อว่า ผลที่เกิดจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน 2020 เป็นการโกงการเลือกตั้ง และพวกเขาจะต้องเดินทางมาคัดค้านการประชุมสภาที่จะรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เกิดขึ้นให้ได้

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทรัมป์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการปลุกกระแสขวาจัดในการเมืองอเมริกัน และกระแสนี้เป็นฐานเสียงทางการเมืองที่สำคัญของทรัมป์มาตลอด พวกเขาพร้อมจะเชื่อเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย และพร้อมที่จะแสดงออกด้วยการปกป้องทรัมป์

ฉะนั้น เมื่อทรัมป์ประกาศชี้นำว่า ถ้าเขาแพ้ เขาจะไม่ยอมรับผลของชัยชนะทางการเมืองที่เกิดขึ้น เพราะเขาถูกโกง การชี้นำเช่นนี้ทำให้กลุ่มปีกขวาจัดที่เป็นฐานเสียงของเขาเชื่ออย่างสนิทใจว่า โจ ไบเดน ไม่ใช่ผู้ชนะ… ไบเดนโกง

และทรัมป์ต่างหากที่เป็นผู้ชนะ!

 

คงต้องยอมรับว่า ทรัมป์เป็น “นักปลุกระดม” ที่ประสบความสําเร็จ การสื่อสารทางการเมืองของเขามีความชัดเจนที่ต้องการนำเสนอแนวคิดทางการเมืองแบบสุดโต่ง ซึ่งก็ดูจะสอดรับอย่างดีกับการสร้างกระแสขวาจัดในสังคมอเมริกัน และทรัมป์ได้ดำเนินการในลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่องมาตลอดเวลา 4 ปีในระหว่างการดำรงตำแหน่งของเขา การขับเคลื่อนด้วยการสื่อสารทางการเมืองของทรัมป์มีตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันเป็นฐานรองรับ

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องเรียกว่าเป็น “สาวกทรัมป์” จึงพร้อมที่จะเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ

ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะปิดใจในการฟังความเห็นต่าง พวกเขาเหล่านี้สมาทานสิ่งที่ทรัมป์นำเสนอ และเชื่ออย่างเต็มที่ จนไม่เหลือพื้นที่ความคิดเป็นอย่างอื่น และพร้อมที่จะเชื่อโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และข้อเท็จจริงใดๆ รองรับ

เมื่อทรัมป์บอกว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นโกง พวกเขาก็พร้อมจะเชื่อว่าโกง โดยมิไยต้องคำนึงถึงหลักฐานรองรับที่ชัดเจน และแม้จะมีเจ้าหน้าที่ในระดับต่างๆ ออกมาชี้แจง แต่ก็มิได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อแต่ประการใด

พวกเขาพร้อมที่จะเดินไปกับทรัมป์อย่างสุดใจ

 

ไม่แปลกใจนักถ้าจะเปรียบว่าสำหรับคนเหล่านี้แล้ว ทรัมป์เป็นดัง “ศาสดา” ที่จะพาสังคมอเมริกันให้เดินไปสู่ความรุ่งเรืองในอนาคต และพวกเขาเชื่อ “ศาสดาทรัมป์” โดยไม่จำเป็นต้องต้องมีข้อสงสัยใดๆ ในใจ

อย่างน้อยในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ทรัมป์ได้หล่อหลอมด้วยการส่งสารทางการเมือง และแสดงออกผ่านสื่อสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง จนอาจเรียกชุดความคิดที่ถูกสร้างขึ้นจากการสื่อสารเช่นนี้ว่า “ลัทธิทรัมป์” (Trumpism)

และชุดความคิดนี้หลอมจนคนบางส่วนพร้อมอาวุธกล้าที่จะบุกเข้าไปในสภา พร้อมกับเสียงเรียกร้อง “เราต้องการทรัมป์” (We want Trump!) ที่แสดงอย่างชัดเจนว่า คนเหล่านี้ไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง และต้องการให้วุฒิสภาไม่รับรองผลที่เป็นชัยชนะของนายไบเดน

การแสดงออกของทรัมป์ด้วยท่าทีที่ต่างจากประธานาธิบดีอเมริกันคนก่อนๆ ดังตัวอย่างเช่น การละเลยต่อการให้คุณค่าเสรีนิยมแบบอเมริกัน การลดการให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องสีผิวและความเท่าเทียมในสังคม การมีทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงที่พลิกไปจากวิถีอเมริกันในการเมืองโลก ตลอดจนถึงการโฆษณาทางการเมืองด้วยคำขวัญแบบประชานิยม ไม่ว่าจะเป็น “American First” หรือ “America Great Again” ซึ่งดูจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกใจกับบรรดากลุ่มที่สนับสนุนเขาที่ไม่ต้องการการมีบทบาทของสหรัฐนอกบ้าน แต่ต้องการหันสหรัฐกลับสู่บ้านตัวเอง

ซึ่งทิศทางเช่นนี้ถูกใจอย่างมากกับกลุ่ม “ผิวขาวขวาจัด” (White Supremacy) ที่ต่อต้านทั้งคนผิวสี คนมุสลิม และผู้อพยพ ตลอดรวมถึงต่อต้านการมีบทบาทในองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งก็คือทิศทางของกระแสขวาจัดแบบเดียวกันที่ก่อตัวขึ้นในยุโรป หรือที่เรียกกันว่า “กลุ่มประชานิยมปีกขวา” (Rightwing Populism)

ในบริบทของการเมืองโลก ทิศทางนโยบายทางยุทธศาสตร์ของทรัมป์กลายเป็นปัญหาอย่างมากว่า สหรัฐกำลังละทิ้งบทบาทการเป็น “ผู้นำโลก” และหันกลับสู่เรื่องภายใน ขณะเดียวกันนโยบายเช่นนี้ก็เปิดทางให้จีนสามารถขยายบทบาทของตนในเวทีโลกได้มากขึ้น

จนเสมือนกับสหรัฐกำลังสูญเสียสถานะการนำในเวทีโลกในยุคของทรัมป์ เช่นเดียวกับในบริบทภายใน

ทิศทางแบบทรัมป์ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมอเมริกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ความแตกแยกทางการเมืองภายในสังคมอเมริกัน ทำให้หลายคนมีความเห็นคล้ายกันว่า สังคมอเมริกันกำลังเผชิญกับการกลับมาของ “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” ในยุคปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่าความแตกแยกที่เกิดขึ้นขยายตัวในวงกว้างและลงสู่คนกลุ่มต่างๆ ในสังคมอเมริกัน เสมือนเมื่อครั้งเกิดสงครามกลางเมืองในปี 1861 และความแตกแยกเช่นนี้เป็นโจทย์สำคัญที่ถูกทิ้งค้างไว้หลังจากการสิ้นสุดอำนาจของทรัมป์

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับบุคลิกในความเป็นผู้นำของทรัมป์ ที่แม้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะแพ้ แต่เขากลับสามารถสร้างจินตนาการด้วย “ข่าวปล่อย-ข่าวปลอม” ว่า เขาต่างหากที่ชนะ และถูกโกง! ซึ่งการสื่อสารทางการเมืองเช่นนี้จึงเป็นเสมือนกับการ “ปั่นกระแส” ในตัวเอง เพราะผู้สนับสนุนหลักส่วนหนึ่งนั้น พร้อมที่จะเดินข้ามเส้นแบ่งของ “การชุมนุมอย่างสันติ” ไปสู่วิถีของความรุนแรง

ดังได้กล่าวแล้วว่าด้วยการโหมโฆษณาชวนเชื่อทำให้สาวกของทรัมป์พร้อมจะเชื่ออย่างไม่กังขา… จนอดเปรียบเทียบกับครั้งที่ผู้นำประชานิยมของอิตาลีคือ มุสโสลินีประกาศ “การเดินไปโรม” (The March on Rome) ในเดือนตุลาคม 1911 แล้วคนอิตาลีจำนวนมากก็เข้าร่วมการก่อการกบฏของพรรคฟาสซิสต์ในเดือนดังกล่าว

เช่นเดียวกับอีก 1 ปีต่อมา ฮิตเลอร์ก็ก่อการกบฏ (The Beer Hall Putsch) ที่มิวนิค แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอำนาจของฮิตเลอร์ และนำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริงในปลายปี 1932

ความสำเร็จของทั้งฮิตเลอร์และมุสโสลินีมีปัจจัยร่วมที่สำคัญคือ “การโฆษณาทางการเมือง” หรือจะเรียกในอีกด้านว่า “การสื่อสารทางการเมือง” ซึ่งโดยความหมายที่แท้จริงแล้ว การสื่อสารของบรรดาผู้นำประชานิยมปีกขวาเหล่านี้คือการโฆษณาชวนเชื่อ ที่มาพร้อมกับการสร้างภาพบุคลิกของความเป็นผู้นำ และประชาชนในฐานะผู้รับสารพร้อมที่จะเชื่อ และเชื่อในแบบของการเป็น “สาวกทางการเมือง”

ดังจะเห็นได้ว่าบทบาทในการเป็นนักโฆษณาของฮิตเลอร์ ที่สามารถพูดชักชวนให้ชาวเยอรมันในขณะนั้นเชื่อมั่นว่า ฮิตเลอร์จะพาเยอรมนีก้าวไปสู่ความเป็นมหาอาณาจักรอีกครั้ง และพวกเขาก็พร้อมที่จะเดินไปสู่อนาคตร่วมกับฮิตเลอร์ แม้การเดินในครั้งนี้จะก้าวไปกับสงครามก็ตาม

ในทำนองเดียวกันบุคคลิกภาพรวมกับการเป็นนักโฆษณาในแบบของ “นักขายสินค้าทางการเมือง” ทำให้ทรัมป์ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปี 2016 อย่างไม่น่าเชื่อ

หากย้อนกลับไปในปีดังกล่าว ใครเลยในขณะนั้นจะเชื่อว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ … ว่าที่จริงก็แทบไม่ต่างจากฮิตเลอร์และมุสโสลินี

จะต่างกันตรงที่ทั้งสองผู้นำในยุคนั้นไม่มีทวิตเตอร์ และเฟสบุ๊ค ที่จะใช้ในการปลุกระดม ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้ว เราจะเห็นปัจจัยร่วมของการเป็น “นักปลุกระดม” ของผู้นำทั้งสาม

 

อย่างไรก็ตาม ผู้นำขวาจัดที่เล่นด้วยการปลุกอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนในแบบที่ทรัมป์พยายามจะต่อสู้กับการพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปี 2020 นั้น มีความเปราะบางในตัวเองอย่างมาก

เพราะด้านหนึ่งทำให้สังคมอเมริกันเกิดความแตกแยกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

และในอีกด้านทำให้ระบอบประชาธิปไตยอเมริกันที่เป็นหนึ่งใน “ต้นแบบประชาธิปไตย” ของโลก ต้องกลายเป็นสิ่งที่ถูกเยาะเย้ยและถากถางจากบรรดานักอำนาจนิยม อีกทั้งทรัมป์แสดงตัวเป็นผู้ที่ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ไม่ต่างกับผู้นำอำนาจนิยมในหลายประเทศ จนเสมือนกับว่าระบอบประชาธิปไตยอเมริกันกำลังจะล้มครืนด้วยการปลุกระดมของทรัมป์

แน่นอนว่าการปลุกระดมของทรัมป์ในครั้งนี้ เป็นเสมือนความพยายามที่จะยึดอำนาจด้วยการให้รัฐสภาอเมริกันออกมติตามความต้องการของฝ่ายตน หรือเป็น “รัฐประหารโดยสภา” (Congressional Coup) คือ ให้สภาเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง และประกาศให้ทรัมป์เป็นผู้ชนะ ซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากว่า วุฒิสภาอเมริกันส่วนใหญ่คงไม่เล่นในเกมของทรัมป์ และเสียงในวุฒิสภาเป็นของพรรคเดโมแครต รัฐประหารในรัฐสภาอเมริกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และว่าที่จริงก็แทบจะมองไม่เห็นถึงความสำเร็จ

ในอีกด้าน อาจจะเป็นเพราะทรัมป์ไม่สามารถใช้อำนาจของทำเนียบขาวสั่งเคลื่อนกำลังรบ และประกาศการรัฐประหารในแบบของบางประเทศได้ การยึดอำนาจจึงยังต้องอาศัยกระบวนการทางรัฐสภาเป็นเครื่องมือ ดังนั้น สิ่งที่ทรัมป์ทำได้มากที่สุดคือ การสั่ง “เคลื่อนม็อบ” ให้บุกรัฐสภา จนกลายเป็นภาพที่น่าอดสูของการเมืองอเมริกัน และเป็นการสั่นคลอนการเมืองอเมริกันอย่างมากด้วย

จนถึงกับมีการกล่าวว่า การบุกรัฐสภาครั้งนี้เป็น “การก่อการร้ายภายใน” และเป็นการก่อการร้ายของพวก “ขวาจัดผิวขวา” หรือเป็นพวก “ชาตินิยมผิวขาว” (White Nationalism)

 

ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจนคือ ระบอบประชาธิปไตยยังสามารถดำรงอยู่ได้ การปลุกม็อบขวาจัดจนเกิดเป็น “กบฏทรัมป์” นั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งได้ แม้ระบอบประชาธิปไตยอาจต้องเผชิญกับความอดสูในบางครั้ง

แต่ความอดสูนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดจากชุดความคิดแบบสุดโต่ง… ผู้นำขวาจัดมักจะสร้างจินตนาการเสมอว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังรักเขา ต้องการให้เขาอยู่ในอำนาจต่อ และเขาจะไม่แพ้เลือกตั้ง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาแพ้การเลือกตั้ง อันเป็นการ “ปิดฉากยุคทรัมป์” ซึ่งเหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า กระแสขวาจัดไม่สามารถโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งได้ แม้จะมีความน่าอดสูเป็นรอยด่างเกิดขึ้นก็ตาม

แต่ประชาธิปไตยก็ชนะ… Democracy has prevailed.!