ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
แกะรอยระเบิดการเมือง จากหน้ากองสลากเก่า ถึงโรงละครแห่งชาติ
จากความสับสนอลหม่านในตอนแรก
ผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง ทุกอย่างก็ชัดเจนตามลำดับ
เสียงดังคล้ายระเบิดเมื่อเวลา 3 ทุ่มครึ่งของคืนวันที่ 15 พฤษภาคม บริเวณโคนต้นไม้บนฟุตปาธหน้าโรงละครแห่งชาติ ใกล้ท้องสนามหลวง
ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เกิดจากฝีมือคน
เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตรวจพบ “ไอซีไทเมอร์” หรือตัวตั้งเวลา ชิ้นส่วนใช้ประกอบระเบิด “ไปป์บอมบ์” ตกอยู่ในบริเวณห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 15 เมตร
ตามมาด้วยถ่านเม็ดกระดุมและสายไฟ
จากหลักฐานดังกล่าว ส่งผลให้ข้อสันนิษฐานของ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่าเกิดจากแรงลมพัดปะทะป้ายโฆษณา ทำให้ท่อพีวีซีที่ยึดอยู่กับป้ายแตกหัก จนเกิดเสียงดังคล้ายระเบิด
ถูกพัดพาหายไปพร้อมแรงลม
ตรงกันข้ามกับรายละเอียดที่ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ออกมากล่าว เบื้องต้นพบลักษณะระเบิดเป็นพีวีซี แนวโน้มน่าจะเป็นประทัดยักษ์ระเบิดแล้วจึงกระเด็นไปโดนป้ายโฆษณา
คาดว่าคนร้ายต้องการสร้างสถานการณ์ก่อกวน เหมือนหน้ากองสลากเก่าเมื่อ 2 เดือนก่อน “แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุ
หากนำคำกล่าวของ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มาผสมผสานกับคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม
เมื่อครบ 3 ปีอาจมีบางพวกที่อยากดิสเครดิตการทำงานของรัฐบาล และ คสช.”
จึงนำมาสู่ข้อสรุปเบื้องต้นได้ว่า
เหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันต่อเนื่องกับเหตุระเบิดหน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา
จุดประสงค์เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อกวนรัฐบาล และ คสช. ในห้วงเวลาครบรอบ 3 ปี นับจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
มีลักษณะคล้ายกันหลายประการระหว่างระเบิดหน้ากองสลากเก่าเมื่อวันที่ 5 เมษายน กับระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม
ไม่ว่าการที่จุดเกิดเหตุทั้ง 2 จุด จะอยู่ในบริเวณใกล้ท้องสนามหลวง นอกจุดคัดกรอง แต่ก็อยู่ในพื้นที่ไข่แดง
ยังพบหลักฐานสำคัญ”ไอซีไทเมอร์” ชิ้นส่วนประกอบระเบิดไปป์บอมบ์ ตกอยู่ในที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน
ทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่มีความหมายในทางการเมือง
กล่าวคือ ระเบิดหน้ากองสลากเก่าเกิดขึ้นในห้วงเวลาการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ฉบับปี 2560 ขณะที่ระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ เกิดขึ้นในห้วงเวลา คสช. เข้ายึดอำนาจควบคุมประเทศครบรอบ 3 ปี
ด้วย 3 ลักษณะคล้ายกันดังกล่าว เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีระเบิดสันนิษฐานว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์คนร้ายน่าจะเป็นรายเดียวกัน
โดยคุณสมบัติของผู้ก่อเหตุ นอกจากมีความเชี่ยวชาญการประกอบระเบิดเป็นพิเศษ ยังต้องมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์
ย้อนกลับไปประมาณ 1 เดือนเศษ ในเหตุระเบิดหน้ากองสลากเก่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบเศษซากชิ้นส่วนท่อพีวีซี ขนาด 0.5 นิ้ว ยาว 4 นิ้ว ประจุดินดำ ชิ้นส่วนโลหะและส่วนประกอบแผงวงจร”ไอซีไทเมอร์”
ลักษณะประกอบระเบิดคล้ายกับเหตุการณ์ระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าห้างเมเจอร์ รัชโยธิน เมื่อปี 2550 รวมถึงใช้ในการก่อเหตุระหว่างการชุมนุมทางการเมืองปี 2553
เป็นระเบิดชนิดแรงดันต่ำ คนที่นำมาใช้มุ่งสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองโดยไม่ประสงค์ต่อชีวิต และเลือกลงมือในพื้นที่เชิงสัญลักษณ์
กระนั้นก็ตาม ระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ มีบางจุดแตกต่างออกไปจากระเบิดหน้ากองสลากเก่า
ตรงที่ระเบิดมีขนาดเล็กกว่า
หลังจากระเบิดแล้วยังทำให้วัสดุที่ใช้หุ้มดินระเบิดถูกทำลายไปพร้อมกัน เป็นคำตอบว่าทำไมเจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบไม่พบสารประกอบระเบิดในจุดเกิดเหตุ
ส่วนที่พบท่อพีวีซีแตกเป็นท่อนๆ คาดว่าเกิดจากแรงระเบิดไปป์บอมป์ที่คนร้ายนำมาวางไว้ในบริเวณดังกล่าวนั่นเอง
ล่าสุดมีการขยายผลไปถึงขั้นที่ว่า ยังมีลักษณะคล้ายคลึงกับระเบิดที่ใช้ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
เกิดข้อสันนิษฐานตามมามากมาย
ใครคือผู้ก่อเหตุ”กระตุกหนวด”รัฐบาล และ คสช. ครั้งนี้
นับตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เกิดเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานครหลายครั้ง
ไม่ว่าเหตุระเบิดทางเดินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าห้างสยามพารากอน, เหตุระเบิดศาลอาญา รัชดาฯ, เหตุระเบิดศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์
กระทั่งมาถึงเหตุระเบิดหน้ากองสลากเก่า และล่าสุด เหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ
ทุกครั้งไม่ว่าพยานหลักฐานจะเบาบางแค่ไหนก็ตาม แต่ก็จะถูกตั้งข้อสันนิษฐานอย่างหนักแน่นไว้ก่อนว่าเป็นระเบิดการเมือง โดยกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร คสช.
กรณีหน้าห้างสยามพารากอน และกรณีหน้ากองสลากเก่า คือตัวอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจนบัดนี้ยังไม่สามารถตามจับกุมตัวคนลงมือก่อเหตุได้ก็ตาม
ส่วนกรณีหน้าโรงละครแห่งชาติ กลับมี”กลิ่นอาย”บางอย่างแตกต่างออกไป
แน่นอนว่า ด้านหนึ่งพุ่งเป้ากว้างๆ ไปยังกลุ่มฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล และ คสช. ในวาระครบรอบ 3 ปี โดยเฉพาะงานด้านความมั่นคงและสร้างความปรองดอง
แต่อีกด้านก็ต้องยอมรับว่า ตลอดเส้นทางอยู่ในอำนาจ 3 ปีที่ผ่านมา การเมืองฝ่ายตรงข้ามถูกกวาดล้างจนอยู่ในภาวะง่อยเปลี้ย ทุกย่างก้าวอยู่ในสายตาฝ่ายความมั่นคงตลอดเวลา จนขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้
ขณะเดียวกัน กลับเป็นรัฐบาล คสช. เสียเอง ที่ได้เปลี่ยนพันธมิตรดั้งเดิมให้กลายเป็นศัตรูจำนวนมาก
เห็นได้จากการที่คนในรัฐบาล คสช. กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปรากฏกระแสการแบ่งขั้ว ขัดแย้ง ไม่ลงรอยกันเป็นระยะ ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว
ตรงนี้เองคือเหตุผลหนึ่งทำให้คดีระเบิดการเมือง มีความสลับซับซ้อน ยากต่อการคลี่คลายว่าแท้จริงแล้วเป็นฝีมือการเมืองภายนอก หรือการเมืองภายในหมู่คนกันเอง
เหมือนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวถึงเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ ตอนหนึ่งว่า ฝ่ายความมั่นคงจับตาทุกคนที่ไม่หวังดีต่อรัฐบาล และ คสช. เชื่อว่ากลุ่มเช่นนี้มีตลอด
มีทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาล”
ทั้งหมดกลับสู่ประเด็นคำถามเดิมๆ ทุกครั้งหลังเกิดระเบิดการเมือง ใครคือผู้ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ความวุ่นวายปั่นป่วน ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม
มีแต่ต้องจับกุมคนกระทำให้ได้เท่านั้น
ถึงจะไขปริศนาคำตอบนี้ได้