จากพี่ถึงน้อง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เตือน “ตู่”-ผู้ชุมนุมไม่ใช่อาชญากร ยิ่งปราบรุนแรง-รัฐบาลยิ่งเสื่อม

วันนี้แม้ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย (พท.) จะอายุ 87 ปีแล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรง

เจ้าตัวบอกถึงเคล็ดลับการดูแลสุขภาพว่า “ผมออกกำลังกาย ด้วยการเล่นแบดมินตัน อาทิตย์ละ 2-3 หน ซึ่งเล่นมา 40-50 ปีแล้ว อีกอย่างเวลากินอะไรก็กินน้อยหน่อย พยายามรักษาอารมณ์ให้ไม่ขุ่นมัว อารมณ์แจ่มใสไว้ก็ช่วยได้เยอะ”

นอกจากนี้ ยังคงทำงานการเมืองอยู่ ซึ่งอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลผู้นี้ลงเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2535

“ผมยังคงไปช่วยน้องๆ ที่พรรค พท. หลังจากที่พ้นจากหัวหน้าพรรคแล้วเขาก็ให้เป็นที่ปรึกษาพรรค ยังไปร่วมประชุม ไปร่วมรับฟังความคิดเห็นในฐานะที่เรามีประสบการณ์”

ก่อนจะไปลงลึกเรื่องการเมือง พล.ต.ท.วิโรจน์พูดถึงวงการสีกากียุคนี้ว่า “หลายเรื่องน่าชื่นใจเพราะดีขึ้น แต่บางเรื่องน่าเป็นห่วง อย่างการประพฤติปฏิบัติที่เกี่ยวกับกระทำต่อประชาชน น่าเห็นใจตำรวจที่ต้องฟังคำสั่ง กลัวไปสารพัด โดยเฉพาะกลัวใครขัดคำสั่ง หรือขัดใจผู้มีอำนาจแล้วจะถูกลงโทษ โดนโยกย้าย โดนลดตำแหน่งก็ทำไปโดยที่ไม่มีสติ”

“ตำรวจถูกเรียกมาในกรรมาธิการที่ผมเป็นกรรมาธิการสภาของ 2-3 คณะ ในฐานะตำรวจเก่าก็ได้แต่พูดให้สติ ขอให้ยับยั้งชั่งใจในการใช้กฎหมายบังคับกับผู้ที่มีความเห็นต่างในทางการเมือง ต้องให้นึกถึงเสมอว่าเขาไม่ใช่อาชญากร ไม่ได้ทำอาชญากรรม อย่าทำอะไรด้วยความรุนแรง การที่จะกลัวผู้มีอำนาจ กลัวไม่ถูกใจกับผู้มีอำนาจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องยับยั้งชั่งใจให้ดี อุดมคติที่สำคัญของตำรวจในการดูแลทุกข์สุขประชาชนคือต้องมีความเมตตาปรานีต่อพี่น้องประชาชน อย่าไปทิ้งเสีย”

ต้องยอมรับว่าเรื่องการปราบปรามจับกุมคนร้าย เรื่องการปราบอาชญากรรม รวมทั้งการสอบสวนคดีอาญาที่เป็นหน้าที่หลักของตำรวจ ทำได้ดีพอสมควร

แต่เรื่องการวิ่งเต้นโยกย้าย การเสียเงินเสียทองกันในการซื้อ-ขายตำแหน่งเป็นเรื่องชั่วร้าย เป็นเรื่องแย่มาก ยังมีข่าวให้เห็นอยู่ ถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไขตรงนี้ให้ดี ขวัญกำลังใจของตำรวจที่ทำงานจะหมดไป

ต่อไปการทำงานจะแย่ลงๆ เพราะคนที่ไม่มีเงินจะไปเสียเงินเพื่อโยกย้ายตำแหน่งจะไม่มีโอกาสเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนความดีความชอบ จะไปได้กับคนวิ่งเต้น คนมีเงินมีทอง คนทุจริต รีดไถ แล้วนำเงินนั้นมาซื้อ-ขายตำแหน่งกัน

เป็นเรื่องทำลายวงการตำรวจอย่างยิ่ง

วกมาสนทนากันในเรื่องการเมือง

อดีตรองนายกรัฐมนตรีผู้นี้ถึงกับฟันธงว่า ต้องยอมรับว่า บ้านเมืองมาถึงจุดวิกฤต ถึงทางตันจริงๆ มองดูแล้วยังไม่เห็นทางออก ซึ่งคนที่จะทำให้เห็นทางออก ก็คือรัฐบาล แต่ว่าระบบการบริหารราชการปัจจุบันนี้ มีเปลือกเป็นประชาธิปไตย แต่แก่นแท้คือเผด็จการที่สืบทอดมาตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 หลังทำปฏิวัติรัฐประหาร

พล.ต.ท.วิโรจน์ย้อนอดีตการเมืองในช่วงนั้น พร้อมกับยอมรับว่า เคยนิยมชมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมองว่าเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยทำให้บ้านเมืองสงบ

“ตอนที่เขาทำปฏิวัติต้องยอมรับว่าขณะนั้นบ้านเมืองแตกแยกโกลาหลพอสมควร ในเรื่องการแบ่งสี แบ่งพวก แบ่งฝ่าย พี่น้องประชาชนทั่วไปก็หวั่นไหวกัน การที่เขาเข้ามาดูเหมือนว่าจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาจัดการ มาเป็นกรรมการใหญ่ เพื่อดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้น”

“ในวันที่ทำปฏิวัติ ผมก็โดนจับ เพราะเป็นตัวแทนของพรรค เข้าไปประชุมตามที่คณะผู้รักษาความสงบ หรือผู้รักษากฎอัยการศึก เชิญให้ไปร่วมประชุม เพื่อจะระงับยับยั้งเหตุการณ์ที่ไม่สงบ ที่มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย เกือบจะยกพวกเข้าหากัน”

“ในตอนนั้นใจลึกๆ เห็นด้วยกับเขาบางประการว่าเขาคงจะทำให้บ้านเมืองสงบ ร่มเย็นดีขึ้น น่าจะให้กำลังใจเขา แล้วเขาออกประกาศว่าจะทำให้เกิดความปรองดอง จะปฏิรูป ใช้เวลาไม่นาน ยิ่งนึกนิยมชมชอบ และฝากความหวังความฝันที่จะเห็นบ้านเมืองกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อย”

ทว่าพอถึงตอนนี้เพลงที่บอกว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” ก็เลือนรางไป ทำให้นึกเอะใจนี่ไม่ใช่แล้ว จนกระทั่งมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกก็ไม่ถูกใจ จนต้องยกเลิกร่างใหม่ โดยอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ซึ่งเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกออกมาพูด บอกเขาต้องการอยู่ยาว ตอนนั้นถึงได้รู้ว่า การอ้างปฏิวัติเพื่อปฏิรูป เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แล้ว

จะเห็นว่าเวลานี้ไปในทิศทางที่แย่ลงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง และด้านสังคม ล้มเหลวไปหมดทุกอย่าง

“ที่สำคัญกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาตั้ง 4-5 ปี กว่าจะสำเร็จออกมา ใช้ได้เพียงนิดเดียวก็เกิดปัญหาแล้ว มีการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญชนิดที่สืบทอดจากระบบเผด็จการ มาเพื่อต้องการให้บุคคลที่เป็นเผด็จการเก่าสืบทอดอำนาจต่อไปเท่านั้น ตอนนี้ถือว่าไปไม่รอดแล้ว”

พล.ต.ท.วิโรจน์ให้รายละเอียดด้วยว่า ระบบเผด็จการทำให้สังคมมันผิดเพี้ยนไปหมด ระบบความดีงาม องค์กรอิสระทั้งหลายก็ทำเป็นสองมาตรฐาน ไม่มีองค์กรอิสระใดที่เป็นที่พึ่งไปสู่กระบวนการยุติธรรม

“เวลานี้เรามีผู้นำที่ดีแต่ชอบพูดให้คนอื่นฟัง ไม่ชอบให้ใครมาพูดให้ตัวเองฟัง ไม่มีสมาธิ ไม่มีความอดทนที่จะฟังใครพูด เขาพูดเยอะ ความจริงนายกฯ ตู่เป็นนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่นน้องผม ตอนนี้มองดูแล้วเขาเป็นลักษณะของเผด็จการโดยแท้เลย เขานึกว่าเขาเป็นพระนารายณ์อวตารมาหรืออย่างไร เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ดูแล 3 กองทัพ เป็นรองนายกฯ ที่ไปควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจฯ ทั้งกรม เป็นประธานคณะรัฐมนตรี เป็นประธานเรื่องเศรษฐกิจ เป็นประธานอะไรต่ออะไรอีกไม่รู้ 10 ประธาน พระนารายณ์อวตาร 10 ปาง มายังไงก็ทำไม่หมดแน่นอน”

“หลังๆ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ใช้อารมณ์ในการปกครองบริหารบ้านเมือง ในการพูดจากับใครทั้งหลาย จะเป็นผู้สื่อข่าวก็ดี หรือกับใครก็ตาม ยิ่งเป็นอันตราย ผมเกรงว่ามันถึงคราว ถึงจุดที่มันเสื่อมถอยลงไปเยอะ ยิ่งตอนนี้การที่คนหลายๆ กลุ่ม ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ออกมาเรียกร้องให้ปรับปรุงแก้ไขกติกาบ้านเมืองที่ไม่ถูกไม่ต้อง จนเกิดม็อบเยอะแยะ”

“ขอเตือนให้สติว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร ขณะที่ตำรวจตั้งข้อหาแปลกๆ อย่างเรื่องผิดกฎจราจร ผิด พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ เมื่อมีการฝ่าฝืนมากๆ เข้า จับมากๆ เข้า เอาไปขัง เอาไปขึ้นศาลอะไรต่ออะไรมากๆ อย่านึกว่าเขาจะหยุด มันจะยิ่งมากขึ้นๆ คนที่เห็นใจเด็กๆ พวกนี้ หรือคนที่ออกมาเรียกร้องอย่างนี้ จะมากขึ้นหลายเท่าตัว ต่อไปจะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง”

“แล้วไปใช้วิธีรุนแรงในการปราบปราม ยิ่งไปกันใหญ่ รัฐบาลก็จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ”

ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเมืองมานาน พล.ต.ท.วิโรจน์เสนอทางออกให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “ถึงเวลาที่นายกฯ ตู่ควรลาออก เพื่อเปิดทางให้บ้านเมืองเดินต่อ ให้คนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ควรถลำลึกลงไปมากกว่านี้ นึกว่าเห็นกับบ้านเมือง ควรลาออกโดยสมัครใจ ไม่ต้องมีใครมาบังคับ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง มีศักดิ์มีศรี ถ้ายังดื้อรั้นอยู่อาจจะต้องถูกบังคับให้ออก จะทำให้หมดศักดิ์ศรี”

“ต้องยอมรับว่า ขณะนี้คนในชาติหมดความเชื่อมั่น หมดความเชื่อถือแล้ว ไปที่ไหนมีแต่คนส่ายหน้าทั้งนั้น ต่างบ่นเบื่อลุงตู่ ผมพบปะพี่น้องชาวไร่ชาวนา ทั้งพ่อค้าวาณิช ทุกคนบอกว่าเมื่อไหร่จะไปสักที ฉะนั้น เมื่อไม่มีเครดิตแล้ว อย่าอยู่เลย”

“ต้องคิดดูว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้แล้ว จะแก้อย่างไร แก้โดยวิธีปราบรุนแรงก็ต้องรุนแรงต่อไป ไม่มีจบ แต่ถ้าไม่ทำอะไร ผู้คนก็เดือดร้อนกันไปหมด บ้านเมืองก็เดินต่อไม่ได้ ต้องทำให้บ้านเมืองมีทางออก ด้วยการลาออก เพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ ลาออกเพื่อเปิดทางให้บ้านเมืองมันเดินได้”

ทั้งหมดนี้เป็นเสียงเตือนจากรุ่นพี่ จปร.และเสียงเตือนจากผู้คร่ำหวอดในวงการเมือง แต่ไม่รู้ว่าเสียงเตือนเหล่านี้จะมีเสียงตอบรับจากรุ่นน้องหรือไม่ประการใด