เปิดใจ ‘แก้ว BNK48’ ในวันที่การได้ที่ 1 ไม่สำคัญอีกต่อไป

ถึงแม้ว่าในปี 2562 ชื่อของแก้ว-ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ หรือ แก้ว BNK48 จะถูกพูดถึงในวงกว้าง ในโลกโซเชียล รวมถึงช่องทางต่างๆ ในหัวข้อที่เราเรียกมันว่าดราม่า

แต่ถึงที่สุดแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของเธอนั้นได้รับความสนใจ บวกกับที่ตอนนี้ผลงานภาพยนตร์ที่นำแสดงเรื่องไทบ้าน x BNK48 จึงทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยสัมภาษณ์เธอ

ซึ่งนอกเหนือจากความคิด และแนวทางตามประสาหญิงสาวทั่วไปในวัยทำงาน

สิ่งที่เราค้นพบในตัวของพี่ใหญ่ใน BNK48 วัย 26 ปี คือเธอเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการมีคุณค่าในการใช้ชีวิต และคิดถึงความรู้สึกผู้อื่น

“เมื่อก่อนหนูเป็นคนไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นเท่าไร แค่รู้สึกว่าหนูเอาตัวรอด หนูสบายแล้ว พอแล้ว”

แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว การก้าวมาเป็น 1 ใน BNK48 ทำให้ความคิดของเธอเปลี่ยนไป

“เริ่มรู้สึกว่าต้องเทกแคร์คนอื่น ใส่ใจคนอื่น ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นมากขึ้น แล้วพอมันออกไปถึง แฟนๆ ก็รู้สึกว่าเราต้องใส่ใจคนที่เขารักเราสิ เราเลยรู้สึกว่าต้องทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น นับจากวันนั้นมาเลยรู้สึกว่าเป็นคุณค่าของการใช้ชีวิต ก็คือให้ความสุขคนอื่น”

จากเพื่อนกลายเป็นวงกว้าง ทันทีที่เธอได้แสดงความสามารถในการเล่นเปียโนให้มวลชนได้ฟังแล้วชื่นชมนั้น ทำให้เธอมีความสุข

“เลยรู้สึกว่ามันเป็นอีกขั้น อีกมิติหนึ่งเลย รู้สึกว่าคุณค่าในชีวิตของเรามันเพิ่มขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราทำ มันให้ความสุขกับคนได้ มันเลยเป็นความสุขเวลาได้ทำ แล้วเราก็ดีใจที่คนชอบ ก็เลยดีใจที่เป้าหมายเล็กๆ ของเรามันสามารถใหญ่ขึ้น และให้ความสุขคนได้มากขึ้น แต่คิดว่าชีวิตของเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าใช้ชีวิตไปตัวคนเดียว”

ในวันนี้ที่เธอมีรอยยิ้มประดับใบหน้า และมีความสุขกับอะไรง่ายๆ นั้น เธอเคยยอมรับว่าก่อนหน้านี้ความสุขของเธอมาจากความโลภ

“จริงๆ แล้วเราเป็นคนไม่ค่อยภูมิใจกับอะไรเล็กๆ คือเป็นคนโลภ ยกตัวอย่าง สอบได้คะแนนเต็มเราไม่ดีใจ ต้องรู้ว่าได้ที่ 1 ถึงจะดีใจ ต้องมีเป้าหมายใหญ่”

จากแก้วที่มีความสุขได้จากการเอาชนะผู้อื่น เมื่อมายืนในวงไอดอลที่มีการแข่งขันของสาวๆ ร่วม 100 คน นั้นน่าจะเหมาะกับลักษณะนิสัยของเธอ

แต่เอาเข้าจริงการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เธอปล่อยวางการเอาชนะไปได้อย่างสิ้นเชิง

“พอเราโตขึ้น มันไม่ง่ายเหมือนตอนเด็กแล้ว เราไม่สามารถเป็นเดอะเบสของทุกอย่างได้”

“เพราะฉะนั้น มันก็รู้สึกดีใจกับเรื่องเล็กๆ ไว้ก่อน เพื่อให้เรามีความสุข มันเลยกลายเป็นว่า แทนที่เราจะภูมิใจกับเรื่องใหญ่ๆ เราก็ภูมิใจในอะไรเล็กๆ แค่วันหนึ่งที่เราทำงานเสร็จ เราก็ภูมิใจมากแล้ว”

หรือแม้กระทั่งในวันที่เจอปัญหาถาโถมในโลกโซเชียล เธอก็ประคับประคองตัวเองจนผ่านมาได้ ซึ่งเธอเรียกสิ่งนั้นว่าความภูมิใจและความสุข

“คือก่อนหน้านี้เราผิดพลาดมาเยอะ คือที่ความโลภนี้มันหายไปเพราะว่ามันไม่ได้ดั่งใจค่ะ คือแบบ อาจจะฟังดูงงนะคะ แต่ว่าเราเคยโลภ พอเข้ามาเป็น BNK48 หนูอยากได้นั้นนี้เต็มไปหมดเลย แต่ว่ามันไม่ได้อะ ให้หนูทำอย่างไร เลยกลายเป็นมันไม่ได้ เราต้องรับมือกับมันอย่างไร”

และเมื่อพูดมาถึงประโยคนี้ เธอก็อยากให้คำพูดนี้ของเธอไปถึงรุ่นน้อง BNK48 รุ่น 2 และรุ่น 3 ที่กำลังจะแจ้งเกิดในเวลาต่อมา โดยเธอบอกว่าการมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ นั้นจำเป็นสำหรับการทำหน้าที่มอบความสุขให้ผู้อื่น

“เราต้องรู้จักจัดการกับปัญหา และเรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน บางทีเราจะรู้ว่าทำไมโอกาสนั้นมันไม่เป็นของหนู หรือทำไมอันนี้เราหวังแล้วเราไม่ได้เลย สิ่งเหล่านั้นมันสอนหนูว่าก็มันไม่ใช่ของเรานะ ก็ไม่ต้องได้ก็ได้นิ มันเลยเกิดคำว่าปลงขึ้นมาในชีวิต ก็คือ…อ้าว ไม่เห็นเป็นไรเลย สุดท้ายความโลภเหล่านั้นมันก็หายไปเรื่อยๆ เราก็เรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่เรามี ก็วันนี้เราทำได้แค่นี้”

“โอกาสมันอาจจะมาในวันข้างหน้าก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องทำคือที่ทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน แล้วความโลภนี้มันก็เลิกไปเอง”

ทั้งนี้ เมื่อถามเธอต่อว่า การเป็นที่ 1 สำหรับเธอยังสำคัญอยู่หรือไม่ เธอนิ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด และยิ้มหวานก่อนให้คำตอบ

“ไม่…จริงๆ เคยคิดว่าอันดับมันสำคัญมาก มันคือทุกอย่างของ BNK48 พอวันที่มีโอกาสต่างๆ เข้ามา เราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่เป็นไร มันก็คือเราอยู่ดี เราก็คือเรา เลยคิดว่าไม่ต่าง มันไม่เป็นไร ตอนนี้สิ่งที่เรายึดถือมาตลอดคือเราต้องมีความสุข”

“เพราะฉะนั้น อยู่อันดับที่เท่าไร แต่ว่าเมื่อเราเป็นเรา ทำสุดความสามารถ มีความพยายาม อันดับเท่าไรก็ไม่ได้สำคัญ”