เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์* : ปี 2019 Van Dijk ไม่ได้ “บัลลงดอร์” เป็นเรื่องเจ็บปวด แต่ก็มอบบทเรียนยิ่งใหญ่ให้ชีวิต

*มหาวิทยาลัยสยาม YouTube : BigBallBird

“สิ่งที่ไม่สมหวังในชีวิต มักจะมีถึงแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

กล่าวถึงสุภาษิตสอนใจ ของชาวจีน

 

Van Dijk สุดยอดกองหลัง ค่าตัว 75 ล้านปอนด์ของสโมสรฟุตบอล Liverpool ไม่ได้รับรางวัล Ballon d”Or (บัลลงดอร์) ประจำปี 2019 ซึ่งมอบให้กับนักฟุตบอลอันดับ 1 ของโลกในทุกปี ย่อมเป็นข่าวที่เศร้าสะเทือนใจสำหรับแฟนคลับหงส์แดง Liverpool และผู้มีใจเป็นธรรมทั่วโลก

หากทว่าเราสามารถมองให้ลึกซึ้งกว่านั้นได้

ในฐานะแฟนหงส์คนหนึ่ง ผมย่อมเจ็บปวดร้าวลึก

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องเผชิญกับความรู้สึกแย่ๆ และย่อมไม่ใช่ความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน

ผลงานสะเทือนฟ้าดินของสุดยอดกองหลัง Virgil Van Dijk ในปี 2019 ย่อมเป็นที่รับรู้กันในวงกว้าง

เขาเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ Liverpool สามารถพลิกนรกเอาชนะ Barcelona ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “สุดยอดทีม” ซึ่งเต็มไปด้วยนักฟุตบอลระดับเทพ ราวกับเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่มนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่างนักฟุตบอลของทีมอื่น

1 ในนั้นก็คือ Leonel Messi นักฟุตบอลอัจฉริยะ เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 5 สมัย

แน่นอนว่า เมื่อวัดผลงานชั่วชีวิต Messi ย่อมเหนือกว่า Van Dijk อย่างไม่เห็นฝุ่น

คนหนึ่งอยู่บนหิ้งบูชา เป็นดาวค้างฟ้าเจิดจรัส

อีกคนกลับเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืน ที่เพิ่งก้าวขึ้นมา “เด่นดัง” ได้เพียง 1-2 ฤดูกาล บารมีและรัศมีย่อมไม่อาจประชันขันแข่งได้

 

อย่างไรก็ตาม Ballon d”Or เป็นรางวัลที่มี “ความยุติธรรม” ค่อนข้างสูง นั่นคือ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจมากี่สิบปี หากทว่าทุกสิ่งล้วนไร้ความหมาย เพราะเราจะวัดเพียงแค่ช่วงเวลาประมาณ 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะตัดสินมอบรางวัลในเดือนธันวาคมของทุกปี

หากประเมินตามหลักการเช่นนี้ ผลงานของ Van Dijk น่าจะเฉือนชนะ Messi ไปได้แบบเฉียดฉิว

เพราะสาเหตุสำคัญคือ Van Dijk มีส่วนช่วยสำคัญทำให้ Liverpool ทีมต้นสังกัดของเขา สามารถโค่นล้ม Barcelona ทีมต้นสังกัดของ Messi ได้สำเร็จ

แม้ว่าการแข่งขันกันในรอบแรก Barcelona จะนำไปก่อน 3-0 แต่สุดท้าย Liverpool ยังสามารถพลิกกลับมาชนะได้ 4-0 จึงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่า ปีนี้ใครกันแน่ที่เหนือกว่า

Van Dijk ยังโชว์ผลงานสุดคลาสสิค ในการสกัดกั้นการเลี้ยงเข้าเขตพื้นที่อันตรายของ Son Heung Min นักฟุตบอลฝีเท้าคมกริบของทีมฟุตบอล Spurs ซึ่งได้เข้าชิงชนะเลิศกับ Liverpool ในเกมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป UEFA Champions League ประจำฤดูกาล 2018-2019

เขาช่วยให้ลิเวอร์พูลปลอดภัยได้อย่างปาฏิหาริย์ เป็นปราการด่านสุดท้ายซึ่งช่วยทำลายกวาดล้างเกมรุกของคู่แข่ง

และทำให้ภาระหนักอึ้งของ Alisson Becker สุดยอดนายประตู เจ้าของผลงาน “ถุงมือทองคำ” ได้บรรเทาเบาบางลงมากมาย

ข้อถกเถียงที่ว่า Messi มีความเฉียบคมเปล่งประกาย ถล่มประตูสูงสุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ย่อมไร้ความหมาย เพราะวัดกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว คนที่มีใจเป็นธรรม ย่อมตัดสินว่า Van Dijk เหนือชั้นกว่า ในปี 2019 อย่างไร้ข้อกังขา

บางคนยังบอกว่า การให้นักข่าวจากทั่วโลก ซึ่งก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนพวกเรา รวมพลังกันตัดสินผลแพ้ชนะนี้ ก็มีโอกาสผิดพลาด และเต็มไปด้วยอคติ ดังนั้น เราจึงไม่ควรใส่ใจ และแสวงหาความยุติธรรมจากประเด็นนี้

ผมเห็นด้วย

และยอมรับการตัดสินนี้ โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

 

สิ่งที่ต้องการมีเพียงการใคร่ครวญ และบทเรียนดีๆ จากเหตุการณ์นี้

1. ในโลกนี้ เราไม่อาจกำหนดได้ทุกอย่าง “โชคชะตา” มีผลต่อชีวิต อย่างน้อย 10-30% ดังนั้น จงยอมรับโชคร้ายให้ได้ ลืมมัน เก็บไว้เฉพาะบทเรียน แล้วเดินหน้าต่อ

2. ค่ำคืนที่บดขยี้ Barcelona ใช่แล้ว หงส์สมควรชนะ เพราะเล่นดีที่สุดใน 3 โลก แต่ใครจะกล้าพูดว่า เหตุการณ์นี้ไม่มีโชคมาเกี่ยวข้อง ก่อนแข่ง ใครก็เชื่อว่าหงส์ตายแล้ว ดังนั้น Van Dijk อาจใช้ดวงไปหมดแล้วก็ได้ หากให้ Messi เลือกที่จะสละบัลลงดอร์สมัยที่ 6 เพื่อให้ทีมชนะ Liverpool และได้เข้าชิงชนะเลิศ เขาคงเลือกทิ้งมันโดยไม่ลังเล

3. ปีหน้า 2020 เอาใหม่ เราต้องสู้เพื่อจะเข้าชิง “บัลลงดอร์” เป็นครั้งที่ 2 ผมคิดแทน Van Dijk แต่ก็รู้สึกเหนื่อยแทน เพราะยากที่จะรักษาฝีมือระดับเทพ แบบปีที่แล้วได้ หากทว่าเขาพูดออกมาจริงๆ สุดยอดมากๆ และผมก็ยินดีกับเขามาก ลูกผู้ชายอย่ายอมแพ้ แม้จะยากมาก เราก็เดินไปทีละก้าว Never Give UP อย่างที่ Mohamed Salah บอกไว้

4. Mindset ยังเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง หากไม่ได้สิ่งที่หวัง และยอมแพ้ ทุกอย่างก็จบตรงนั้น แต่หากลืมความยากลำบากที่ผ่านมา และพร้อมจะยากลำบากอีกครั้ง พระเจ้าก็จะอวยพรคุณ บัลลงดอร์อาจไม่ได้อีกปี แต่ถ้ายังไม่ยอมแพ้ UCL สมัยที่ 7 หรือ Premier สมัยที่ 1 ในรอบ 30 ปี ก็ยังรอคอยอยู่

นี่คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่

 

สุดท้าย ผมอยากยกคำกล่าวของ Van Dijk หลังจากได้ทราบข่าวว่า ตนเองได้เป็นเพียงที่ 2 ของการเข้าชิงรางวัลที่ยิ่งใหญ่ Ballon d”Or ประจำปี 2019

“I had to work hard every step of the way, so to be here makes me very proud. And I want to work hard and be here again next year.”

นี่เป็นคำพูดธรรมดา ดูเหมือนไม่มีความหมายลึกซึ้ง

หากทว่ากลับสะท้อน Mindset ระดับโลก นั่นคือ ความภูมิใจที่ได้พัฒนาตัวเองทุกย่างก้าว โดยไม่เสียดาย และคำนึงถึงอดีตที่ผ่านไป

แต่เดินหน้าลุยอีกครั้ง

เพื่อจะกลับมาในครั้งต่อไป ตราบที่ยังมีโอกาสและลมหายใจ