“อเล็กซ์ เรนเดลล์” ปั้น EEC Thailand สู่ธุรกิจ SE ตั้งเป้าจัดค่ายเพื่อเด็กพิเศษ 999 ครั้ง

วันนี้ “อเล็กซ์ เรนเดลล์” นักแสดงหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ในวัย 29 ปี ใช่จะเป็นเพียงนักแสดงที่มีรางวัลด้านการแสดงการันตีเท่านั้น

แต่เขายังได้รับการยกย่องให้เป็นดาราหัวใจสีเขียว

ในฐานะผู้มีส่วนสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หลังจากที่ได้ก่อตั้งศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education Centre) หรือ “EEC Thailand” มาเป็นเวลาเกือบ 5 ปี

โดยจัดค่ายทำกิจกรรมส่งเสริมเด็กและเยาวชนทั้งไทยและต่างชาติให้รู้จักคุณค่าและร่วมรักษาทรัพยากรธรรมชาติทั้งทางทะเลและบนบก

ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ สื่อใหญ่ระดับโลกอย่างซีเอ็นเอ็น ก็ได้มาถ่ายทำเรื่องราวของเขาในบทบาทของพี่อเล็กซ์ ผู้ให้ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมแก่น้องๆ ในค่ายเพื่อนำไปเผยแพร่

ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า นักแสดงหนุ่มรายนี้ ผู้ซึ่งอยู่ในแวดวงการแสดงมา 25 ปี ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ

มุ่งมั่นปลุกปั้นในงานสร้างเยาวชนให้มีจิตสำนึกที่ดีในการช่วยกันดูแลปกป้องทรัพยากรธรรมชาติบนโลกใบนี้

อเล็กซ์เล่าที่มาที่ไปของศูนย์แห่งนี้ว่า ตั้งเมื่อปี 2558 เข้าปีที่ 5 แล้ว จริงๆ จุดเริ่มต้นมาจากการเป็นลูกศิษย์ของครูอลงกต ชูแก้ว หรือครูกต ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเขาใหญ่ และได้เห็นครูกตจัดค่ายเด็กพิเศษ

จึงคิดตั้งองค์กร ตั้ง EEC Thailand ขึ้นมา เพื่อทำค่ายแห่งการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและเป็นระบบในรูปธุรกิจเพื่อตอบแทนสังคม ไม่ได้เป็นมูลนิธิ ไม่ได้เป็นกองทุนอะไร เป็นธุรกิจจริงๆ แต่เป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นตอบแทนสังคม (Social Enterprise หรือ SE)

พนักงานทุกคนได้เงินเดือนเหมือนกับบริษัท มีเป้าหมายของแต่ละแผนก มีระบบบัญชีเป็นเรื่องเป็นราว

งานหลักของบริษัทเน้นจัดค่าย แต่ว่าทุกปีจะมีโปรเจ็กต์สำหรับเด็กพิเศษที่ไม่คิดกำไรเลย เพียงแต่ใช้เครือข่ายที่มี อย่างพวกผู้ปกครอง หน่วยงานต่างๆ เป็นการระดมทุนของทุกฝ่าย เพื่อเปิดโอกาสทางสังคมให้แก่เด็กพิเศษทั้งหลาย

ตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ 999 ครั้ง

ที่ผ่านมาทำไป 4-5 ครั้งแล้ว เหลือ 995 ครั้ง ก็ทำไปเรื่อยๆ ทุกปีๆ

อเล็กซ์บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเด็กพิเศษเหล่านั้นมาเข้าค่ายก็คือ พัฒนาการทางสมอง ทางร่างกาย และทางสังคม

อย่างบางคนนั่งรถเข็นมาตลอด หรือบางคนได้แต่คลาน เดินไม่ได้

แต่พอมาทำกิจกรรมร่วมกับครูช้างแสนรู้และใจดีอย่าง “ป้าคำมูล” และ “ขวัญเมือง” ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจลุกขึ้นเดินได้

ขณะที่เด็กบางคนสื่อสารได้ดีขึ้น

อเล็กซ์มักพูดอยู่เสมอว่า เขาชอบทำงานกับเด็กๆ สาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะสืบเนื่องมาจากพื้นฐานครอบครัวที่คุณแม่เป็นผู้ช่วยครูอยู่โรงเรียนบางกอกพัฒนา และเป็นบ้านที่ชอบเด็ก จะมีเด็กๆ มาเล่นมานอนที่บ้านเป็นประจำ

และเมื่อได้ไปช่วยงานค่ายกับครูกต จึงคิดอยากจะมาทำงานนี้เต็มตัว เพราะเป็นงานที่ชื่นชอบ

ซึ่งตัวเขาเองเป็นคนคิดโมเดลทางธุรกิจในฐานะผู้บริหารและผู้ก่อตั้งร่วมกับครูกต

สำหรับสิ่งที่ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาคาดหวังนั้น อเล็กซ์อธิบายว่า อีอีซีไทยแลนด์ทำอะไรเยอะกว่าที่หลายๆ คนคิด โดยทำร่วมกับองค์กรในภาคส่วนอื่นๆ มีการเซ็นสัญญากันเป็นปีและ 2 ปี เน้นในเรื่องการให้การศึกษาแก่เยาวชน อันเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและทำให้เกิดความยั่งยืน

“เราอยากจะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ และสร้างองค์กรที่สามารถทำงานให้กับเด็กๆ ได้ตลอด อย่างเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ทำงานกับองค์กรต่างประเทศที่ส่งเยาวชนในอาเซียนจาก 4 ประเทศมาเข้าค่ายกับเรา”

อเล็กซ์เปรียบเทียบงานการแสดงกับการทำงานในอีอีซีไทยแลนด์ว่า ผ่านงานในวงการบันเทิง รู้อะไรมาเยอะ ทำให้รู้จักกับระบบ ได้เข้าใจว่าออร์แกไนเซชั่นคืออะไร

หลายๆ อย่างที่สะสมมาในช่วง 25 ปี ก็ถูกนำมาใช้ในส่วนของศูนย์แห่งนี้

แน่นอน งานคล้ายๆ กัน ระหว่างกองถ่ายกับอีอีซีฯ ที่มีทั้งภาคสนามและภาคออฟฟิศ เหมือนกองถ่ายก็จะมีออฟฟิศ แล้วก็มีกองถ่าย และต้องมีผู้กำกับฯ มีผู้ช่วยผู้กำกับฯ มีตากล้อง มีคนประสานงาน มีสวัสดิการ อะไรพวกนี้

มันมีโมเดลออร์แกไนเซชั่นคล้ายกัน เพียงแต่ว่าค่ายจะลุยกว่ากองถ่ายหน่อย มีคำว่าเซอร์วิสเข้ามามากกว่า และมีหลายๆ ปัจจัยที่ต้องรอบคอบ เพราะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

ถามถึงการวางแผนชีวิตในอนาคต อเล็กซ์ให้คำตอบว่า ในส่วนงานละครยังเล่นอยู่ แต่จะเล่นทีละเรื่อง ไม่เกิน 2 เรื่อง แล้วแต่ว่าสปีดในการทำงานของแต่ละเรื่อง

ถ้าเกิดเรื่องไหนเร็วอาจเห็นหน้ากันบ่อย ถ้าเรื่องไหนมีอุปสรรคเยอะ ก็เป็นไปตามสภาพตรงนั้น

ทุกวันนี้ในหนึ่งสัปดาห์ ตื่นขึ้นมา 3 วัน จันทร์ อังคาร พุธ ต้องไปถ่ายละคร

ส่วนเวลาที่เหลือเป็นเรื่องของอีอีซีฯ ก็แบ่งเวลาให้ได้มากที่สุด

“ส่วนในระยะยาว ยังเล่นละครไปเรื่อยๆ แต่พอมีตรงนี้แล้วชีวิตไม่ได้จมอยู่กับกองถ่ายเหมือนเดิม ฉะนั้น ต้องดูจังหวะไปเรื่อยๆ ถ้าละครเรื่องไหนดีๆ ก็ลง บทไหนรู้สึกว่าจริงๆ มันไม่ใช่ตัวเรา เล่นแล้วไม่มีใจที่จะเข้าไปอยู่กับมัน อีกอย่างเราโตขึ้น เล่นมาเยอะมากๆ แล้ว มันถึงเวลาที่รู้สึกว่าควรดูงาน ดูบท”

“ขณะที่ตัวองค์กร เราก็ทำจริงๆ ไม่ได้ให้คนอื่นทำ ผู้จัดการก็เป็นพี่สาว ออฟฟิศก็อยู่หน้าหมู่บ้าน เป็นตึกที่คุณแม่ซื้อไว้นานแล้ว เพราะฉะนั้น อีอีซีฯ มันเป็นตัวเรามากๆ ไม่อยากจะทิ้ง ทำมาแล้ว 4-5 ปี เติบโต มีนักเรียน มีสต๊าฟเยอะแยะมากมาย และพร้อมขยายไปเรื่อยๆ”

วกมาถามเรื่องส่วนตัวกันบ้าง

อเล็กซ์เล่าว่า “สำหรับเต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ของอีอีซีฯ ยังคงเป็นที่ปรึกษาได้ทุกๆ เรื่อง เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ มีอะไรก็ยังคุยกันอยู่เสมอ คือเราทำมาด้วยกัน สร้างองค์กรมาด้วยกัน ทำสิ่งดีๆ มาด้วยกัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่สำคัญกว่าตรงนั้นได้”

ส่วนแฟนสาวที่กำลังคบหากันอยู่นั้น อเล็กซ์แจงว่า “จริงๆ ไม่ได้ปิด แต่ไม่อยากที่จะเปิดเต็มปากเต็มคำ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในวงการ แล้วเขาก็ไม่ได้เลือกที่จะมาอยู่ในวงการ และรู้สึกว่าถ้าพูดเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด จะทำให้ความสัมพันธ์มันมีความจริงใจที่ไม่ต้องไปโอ้อวด ไม่ต้องไปประกาศหรือบอกใคร ผู้ปกครองของเราและผู้ปกครองฝั่งเขาก็รับรู้อยู่ รวมทั้งเพื่อนๆ ก็รู้ เราไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ในกลุ่มเพื่อนเดียวกัน ไม่ได้หวือหวา และไม่ได้ต้องการเอาตรงนี้มาทำให้เป็นที่สนใจของสังคม อยู่เงียบๆ แบบนี้เราก็มีความสุขดี”

วางแผนแต่งงานไว้เมื่อไหร่

“จริงๆ ผมอยากมีครอบครัว อยากมีลูก ผมทำงานกับเด็กๆ เยอะ รู้สึกอยากมีลูก แต่ว่า ณ วันนี้ยังมีหลายๆ สิ่งที่มากกว่านั้น เรื่องของผู้ปกครอง ผมต้องดูแลอย่างคุณพ่อที่เป็นเชฟชาวอังกฤษ ตอนนี้เกษียณแล้ว อายุเยอะแล้ว คุณพ่อเหนื่อยมาเยอะ ถึงเวลาที่ต้องดูแลเขา ตอนนี้เวลามาทำค่าย บางครั้งคุณพ่อก็ไปให้กำลังใจ”

นับเป็นนักแสดงอีกคนที่แสดงจุดยืนและทำงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างทุ่มเท ด้วยความเชื่อที่ว่า เด็กๆ และเยาวชนจะเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อันเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน