Divock Origi หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ แม้จะเป็นแค่ตัวสำรอง

“ผมคิดว่ามันเกี่ยวกับทีมมากกว่า เราทำได้ดีมาก เราสู้ และเรารู้ว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่พิเศษ เราต้องการต่อสู้เพื่อผู้เล่นที่บาดเจ็บ”

Divock Origi นักฟุตบอลเบอร์ 27

ผู้เล่นตัวสำรองของทีมลิเวอร์พูล

“ทัศนคติ” เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทุกความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ทุกองค์กรย่อมต้องมีตัวสำรอง

หากคุณโชคร้าย ได้เป็นแค่ตัวสำรอง คุณจะทำอย่างไรดี?

ร้องไห้ ฟูมฟาย และกล่าวโทษโชคชะตาฟ้าดิน?

เมื่อเจ้านายมอบโอกาสให้คุณเป็นตัวจริง ในยามที่ทีมต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน คุณจะทำอย่างไรดี?

Divock Origi เป็นนักฟุตบอลตัวสำรองของทีมลิเวอร์พูลในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกและยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 2018-2019 เขาได้ลงเล่นไม่บ่อยครั้งนัก

แต่ทุกครั้งที่เขาได้โอกาส เขาจะใส่เต็มที่ สู้ไม่ถอย และมีส่วนช่วยในการทำประตูสำคัญหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาแตกต่างจากผู้เล่นตัวสำรองคนอื่นก็คือ ทัศนคติที่ถูกต้อง

“ตัวสำรอง” บางคน แม้จะต่อสู้เต็มที่ในโอกาสที่ตนได้รับ แต่ก็จะทำเพื่อตนเองมากกว่าทำเพื่อทีม เพราะต้องการใช้ห้วงเวลาที่น้อยนิดนี้ ทำให้เจ้านายเห็นคุณค่า และอาจมอบโอกาสให้เป็นตัวจริงในเวลาต่อมา

หากทว่า Origi เล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง

ในฐานะกองหน้า เขาย่อมมีหน้าที่ยิงประตู หากทว่าเมื่อจังหวะของตนเองยังไม่มาถึง เขาก็ยินดีที่จะส่งลูกบอลให้เพื่อน ไม่หวงบอลเอาไว้เพียงคนเดียว

การทำเช่นนี้ เหมือนจะทำให้ตัวเองเสียเปรียบ เพราะมอบโอกาสไปให้กับคนอื่น

อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลนั้นเป็นเรื่องของทีมมากกว่าตัวบุคคล หากเราส่งบอลไปให้เพื่อน ซึ่งมีจังหวะดีกว่า ก็ย่อมทำให้ทีมได้เปรียบ เมื่อทีมมีจังหวะการเล่นที่ลื่นไหล ในท้ายที่สุด บอลย่อมมีโอกาสกลับมาหาเรามากกว่าเดิม

เราทำเพื่อทีม และทีมก็ทำเพื่อเรา

“ทําเต็มที่เพื่อทีม มากกว่าตัวเรา” เป็นทัศนคติที่ทำให้คุณได้เปรียบ แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง

คนที่เน้นตัวเองเป็นหลัก จะมองไม่เห็นภาพรวมของสถานการณ์ หรืออาจจะมองเห็นเพียงสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อตัวเราแบบตรงไปตรงมา

หากทว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีความซับซ้อน บางครั้งบอลอาจถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งไปแล้ว แต่ไม่ทันไร ฝ่ายเราอาจแย่งกลับมาได้ คุณก็ต้องเตรียมพร้อม 100% เพื่อจะไปยืนในตำแหน่งที่เหมาะสม ขณะเดียวกันบอลที่ฝ่ายเรากำลังครอบครองอยู่ดีๆ บางครั้งก็อาจถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งไปได้ คุณก็ต้องเตรียมพร้อม 100% ที่จะไปแย่งคืนมาให้ได้

ดังนั้น การใส่ใจภาพรวมของเกมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการทำให้ตัวเรามีคุณค่าสำหรับทีม

การแข่งขันฟุตบอล “ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก” รอบรองชนะเลิศมีทั้งหมด 2 ครั้ง เนื่องจากครั้งที่ 1 ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ 3-0 ดังนั้น ในครั้งที่ 2 ซึ่งแข่งขันเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ตามเวลาประเทศไทย หากว่าลิเวอร์พูลต้องการจะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้ พวกเขาต้องยิงประตูทีมบาร์เซโลนาให้ได้ 4-0 หรืออย่างน้อย 3-0 เพื่อจะได้ไปสู้กันในช่วงต่อเวลาพิเศษ

Divock Origi ได้โอกาสเล่นเป็นตัวจริงตั้งแต่เริ่มเกม เพราะผู้เล่นตัวหลัก 2 คนมีอาการบาดเจ็บ และไม่สามารถลงช่วยทีมได้

ทุกคนในทีมเล่นดีมากๆ และอาจมีบางคนเล่นดีกว่า Origi แต่ที่ผมต้องชื่นชม Origi เพราะเขาเป็นตัวสำรอง ที่ตั้งใจเล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง

เขาวิ่งพล่านไปทั่วสนาม แย่งบอล ครองบอล สกัดบอล และยิงประตู

“ทําเต็มที่ แม้จะไม่เกี่ยวกับการยิงประตู” เป็นทัศนคติที่ถูกต้อง เพราะการทำให้คู่แข่งเล่นยากเพียงน้อยนิด ก็อาจส่งผลในเชิงจิตวิทยาให้คู่แข่งเหนื่อยล้า หรือท้อแท้ใจ ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มโอกาสแห่งชัยชนะให้กับทีม เพียงแค่ 1% ก็ยังดี

ในที่สุด Origi ก็ทำได้ โดยการยิงประตู 1-0 ให้กับทีมได้สำเร็จ

จังหวะนี้อาจจะมีโชคอยู่บ้าง เพราะผู้รักษาประตูเอามือปัดลูกยิงของ Henderson ออกมาเข้าทางของเขาพอดี แต่หากไม่เตรียมพร้อม 100% และวิ่งเข้ามาให้ทันเวลา โอกาสเพียงน้อยนิด ก็ย่อมหลุดลอยไปแล้ว

สำหรับลูกยิงที่ทำให้ทีมขึ้นนำเป็น 3-0 ซึ่งทำให้คะแนนรวมทั้ง 2 ครั้ง เสมอกันเป็น 3-3 และทำให้ลิเวอร์พูลกลับเข้าสู่เกมอย่างแท้จริงได้ จุดเริ่มต้นก็มาจาก Origi นั่นเอง

เขาวิ่งสอดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อรับบอลทางฝั่งขวา ซึ่งหากเป็นคนที่ “คิดถึงตัวเอง” อาจเสี่ยงยิงไปแล้ว ยิ่งเป็นตัวสำรองมาตลอด ยิ่งอยากโชว์ของ แต่เขาเลือกจะเปิดบอลไปฝั่งซ้ายให้กับ Shaqiri ทำชิ่งบอลกับ Milner และเปิดให้กับ Wijnaldum โหม่งเข้าไปอย่างสวยงาม

หากไม่มีประตูนี้ หรือว่า Origi ตัดสินใจยิงด้วยตนเอง แล้วทำพลาด ก็ย่อมไม่มีลูกสุดท้าย 4-0 ซึ่งส่งให้ลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศอย่างสง่างาม หรืออยากจะเรียกว่า “โกงความตาย” ก็สุดแท้แต่มุมมองของท่านเอง

จังหวะสวยงามนี้ คนที่ต้องชื่นชมที่สุดก็คือ Trent Arnold ผู้เล่นตัวจริงของลิเวอร์พูล ซึ่งมีอายุเพียง 20 ปี แต่กล้าที่จะเล่นมุข “หลอกล่อ” แกล้งจะเปิดบอล แต่แล้วไม่เปิด และกลับมาเปิดอีกครั้ง เมื่อกองหลังไม่ทันระวัง เขาก็ส่งให้ Origi ซึ่งไม่มีตัวประกบ ยิงเข้าไปอย่างสบายเท้า

ทําไมต้องเป็น Origi อีกแล้ว

บางทีอาจเป็น “ข้อดี” ประการเดียวของตัวสำรอง ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง และไม่ทำตัวเด่นดัง นั่นคือ เขาจะไม่ค่อยโดนผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามตามประกบมากนัก เพราะคิดว่าไม่มีพิษสง โอกาสจึงมาถึงเขาง่ายดายกว่าคนอื่น

แต่สิ่งที่จะช่วยให้โอกาสนั้นแปรเปลี่ยนเป็นประตูได้ คุณก็ต้องฝึกซ้อมและฝึกฝนทักษะอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะมีโอกาสลงเป็นตัวจริงกี่ครั้งก็ตาม และเมื่อได้รับโอกาสแล้ว คุณก็ต้องตั้งใจเล่นอย่างเต็มที่ ทั้งเพื่อทีม และเพื่อตัวเอง ควบคู่ไปพร้อมกัน

“ผู้เล่นตัวสำรอง” ในโลกฟุตบอล ย่อมโชคดีมากกว่าในโลกธุรกิจอยู่นิดหน่อย เพราะแม้คุณจะทำประตูไม่ได้ แต่หากตั้งใจเล่นดีๆ และมีส่วนช่วยในการสกัดบอล ส่งบอล หรือแอสซิสต์ลูกสวยๆ ให้เพื่อนทำประตูได้ คุณก็อาจจะได้รับการยอมรับจากโค้ช และกลายเป็นตัวจริงได้ แม้ว่าโค้ชจะยังไม่เห็นคุณค่ามากนัก แต่แฟนบอลหรือสื่อมวลชนที่ได้ดูการแข่งขัน ก็อาจช่วยวิเคราะห์หรือสื่อสารให้คุณเข้าตาโค้ชได้

สิ่งที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์อื่นก็คือ ทักษะในการสื่อสาร และทำงานเป็นทีม

ดังนั้น แม้ในโลกธุรกิจ หรืองานอื่นๆ ที่ต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม ผู้คนอาจจะมองเห็นคุณค่าของคุณได้ไม่กระจ่างเท่าฟุตบอล แต่เชื่อเถิดว่า มนุษย์มีความฉลาดเพียงพอที่จะมองเห็นได้ ดังนั้น เราจึงต้องมี “ทัศนคติ” ที่ถูกต้อง นั่นคือ การทำเพื่อทีมให้เต็ม 100%

เฉกเช่นเดียวกับ Origi และเมื่อคุณพัฒนาทักษะที่จำเป็นมากเพียงพอ ผลงานย่อมออกมาดี และจะมีคนเห็นคุณค่าในท้ายที่สุด

แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกทีมงานหรือบริษัทซึ่งจะเห็นคุณค่าของ “พนักงาน” ที่ทำเพื่อทีม เฉกเช่นเดียวกับ Jurgen Klopp โค้ชของทีมลิเวอร์พูล ซึ่งมีความสามารถในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ให้ทุกคนมองเห็นทีมสำคัญกว่าตัวเองได้ แต่เราก็ควรที่จะทดลองทำเพื่อทีมให้เต็ม 100% อย่างยาวนานเพียงพอให้ได้ก่อน และหากยังไม่มีคนเห็นคุณค่าอีก การย้ายทีมก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง

บางทีทีมงานจากองค์กรคู่แข่งของคุณอาจกำลังจ้องมองและต้องการตัวคุณอยู่ก็เป็นได้

ผมเชื่อเช่นนั้น เพราะในโลกทุนนิยม 4.0 ทุกคนย่อมต้องดิ้นรนและขับเคี่ยวกัน ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

การดึงตัว ซื้อตัว หรือแม้กระทั่งยืมตัวคนเก่งๆ จากองค์กรอื่น เป็นเรื่องปกติธรรมดาของทุกองค์กรบนโลกใบนี้ไปแล้ว

ที่สำคัญ ยังต้องกระทำอย่างรวดเร็วอีกด้วย เพราะหากชักช้า คู่แข่งจากอีกทีมหนึ่งก็อาจฉกชิงตัวไปก่อนได้

ดังนั้น จงทำเพื่อทีมให้เต็ม 100% โดยไม่เกี่ยงงอนและตั้งคำถามในใจ แม้ว่าจะยังไม่มีใครเห็นคุณค่าของคุณในวันนี้

แต่เชื่อเถิดว่ามีคนจับตาดูคุณอยู่จากสักมุมบนโลกใบนี้

ผมอยากเป็นกำลังใจให้กับ “ตัวสำรอง” ทุกคน ด้วยใจจริง