สิงคโปร์ ก็ “เผาขยะ” แต่ว่าเขาทำอย่างไร ? ถึงไม่ค่อยมีปัญหา

จัดการขยะสังคม

ล่าสุดเชียงใหม่ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีมลพิษสูงสุดอันดับ 1 ของโลกในขณะนี้ (30 มีนาคม 2562) ด้วยค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน 500 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับชาวกรุงเทพฯ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

และจากรายงานของข่าวหลายสำนักกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้เร่งดำเนินการฉีดน้ำเพื่อให้ฝุ่นเบาบางลง และจะหามือวางเพลิงอย่างจริงจังเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

สาเหตุที่ทำให้เกิดมลพิษ มีทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่ง ฯลฯ

แต่จะพบว่าสาเหตุหลักคือ การเผาไหม้ในพื้นที่โล่ง ซึ่งคิดเป็น 54% ของที่มามลพิษทั้งหมด

หมายถึงทั้งการเผาพืชไร่ ป่ารกร้าง และการลักลอบเผาขยะ

แต่การเกิดของมลพิษไม่ใช่แค่เพียงว่าเผาวันนี้ แล้ววันรุ่งขึ้นก็เกิดค่าสูงเกินมาตรฐานเลยทันที มันเกิดจากการสะสมของมลพิษเป็นระยะเวลานาน

ซึ่งจะพบว่า นอกจากการเผาป่าหญ้ารกร้างเพื่อการทำเกษตรที่มักจะเกิดในช่วงฤดูเพาะปลูกแล้ว ก็จะมีการลักลอบเผาขยะที่พบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศตลอดเกือบทั้งปี

อย่างเมื่อช่วงปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา ก็ได้มีข่าวเกี่ยวกับกรณีที่ชาวกาฬสินธุ์ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐจัดการกับปัญหาลักลอบเผาขยะที่ชาวบ้านต้องทนรับมลพิษจากการเผาไหม้ของขยะมานานกว่า 20 ปี

หรือแม้แต่หลังบ้านผู้เขียนเองก็ยังพบกับการแอบทิ้งขยะในที่ดินรกร้างและเผาขยะจนลุกลามไหม้ไปทั่วป่าหญ้าป่ากก เป็นประจำทุกปี

จะเห็นได้ชัดว่าการลักลอบเผาขยะพบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศและเป็นเหตุสำคัญ จนทำให้เกิดการสะสมของมลพิษ และในที่สุดก็ทำให้ภาวะค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนอย่างมาก เขม่าควันที่เกิดจากการเผาไหม้ลอยเข้าจับ ปกคลุมข้าวของ เสื้อผ้า อาหาร และการต้องทนสูดหายใจรับอากาศสกปรกเข้าไปสูบฉีดหล่อเลี้ยงเลือดในร่างกาย

แต่นั่น เรากำลังมองปัญหาที่ปลายเหตุอยู่หรือเปล่า การจับคนที่ลงมือเผาขยะทั้งหมดไว้ได้ ก็ไม่ได้ทำให้มลพิษหายไปไหน ทำไมไม่ตระหนักว่า การลักลอบเผาขยะที่เกิดขึ้น เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงระบบการจัดการขยะที่ไร้ประสิทธิภาพ

การเผาขยะ ไม่ได้เป็นวิธีการกำจัดขยะที่ผิด แต่ไม่ได้มีระบบรองรับการจัดการขยะทั้งหมดอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากพอ

อย่างประเทศสิงคโปร์ มีการกำจัดขยะโดยใช้วิธีเผา เพราะสามารถลดปริมาตรของขยะได้กว่า 90% แต่ระบบจัดการขยะของเขา ไม่ได้เพียงแค่นำขยะมาแล้วเข้ากระบวนการเผาเลย

ระบบที่ดี ต้องดีตั้งแต่เริ่มจนจบ

ขั้นแรก สิงคโปร์มีการรณรงค์ ส่งเสริมและควบคุมอย่างเข้มงวดในเรื่องการทิ้งขยะ และแยกขยะตามประเภทอย่างชัดเจน ทั้งยังจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามปริมาณขยะของแต่ละบ้านที่ผลิตออกมา

และไม่ใช่แค่เพียงสอนให้คนรู้จักแยกทิ้งขยะให้ถูกต้องเท่านั้น เวลาจัดเก็บขยะจากตามบ้านมาแล้ว รถเก็บขยะเองก็ต้องคัดแยกด้วย ยิ่งพอมาถึงโรงงานเผาขยะ ก็มีการแยกอีกรอบหนึ่ง เพื่อคัดแยกขยะที่ไม่สามารถเผาได้ นำไปฝังกลบในพื้นที่จัดสรรไว้ และขยะที่เผาได้ก็นำไปสู่กระบวนการโรงงานเผาต่อไป

พอหลังจากเข้าสู่กระบวนการเผาขยะ สิ่งที่หลงเหลือจะเป็นก๊าซ ก็จะมีระบบการดักจับฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิต เพื่อให้ได้อากาศที่บริสุทธิ์ก่อนจะปล่อยออกไป และส่วนที่เป็นเถ้าจะถูกส่งไปยังสถานีโอนถ่ายขยะ พร้อมกับขยะที่เผาไม่ได้ เพื่อนำไปทำเป็นอิฐก่อสร้างหรือไปถมเป็นพื้นที่เกาะอย่างเกาะเซมาเกา ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นแหล่งทำเงินให้ประเทศได้อีกด้วย

ทั้งหมดที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ก็เพียงอยากจะให้ทุกคนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาได้ตระหนักกันใหม่ ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในประเทศแบบระยะยาวและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

นี่ก็เข้าหน้าแล้งแล้ว ประหยัดน้ำกันไว้หน่อย จะได้ไม่ต้องคอยไปแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุอีกเช่นเคย