ซากุระบานที่บัวโนสไอเรส ปารีสแห่งอเมริกาใต้

คนที่ตั้งฉายาให้บัวโนสไอเรสว่าปารีสแห่งอเมริกาใต้นั้น ช่างตั้งได้เหมาะเหม็งชนิดที่ว่า “ใช่เลย”

เพราะมหานครแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมยุควิกตอเรียอันสวยงามล้ำค่า ทุกอาคารได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างดี บ้านเรือนสวยงามไม่แตกต่างจากปารีสในยุโรป

การเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองในบัวโนสไอเรสและในอาร์เจนตินาจะต้องมีการวางแผนการเดินทางไว้อย่างสมบูรณ์ เพราะผู้คนที่นี่แทบไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ ตามถนนหนทางถ้าจะสอบถามเส้นทางก็ต้องเอ่ยชื่อเป็นภาษสแปนิชอย่างเดียว แล้วคุยกันด้วยภาษาใบ้ ตามร้านรวงหรือร้านอาหารก็ไม่มีบริกรพูดภาษาอังกฤษ

หาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ยากเย็นกว่าในโตเกียว

หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก็ไม่มีในอาร์เจนตินา

ทีวีช่องภาษาอังกฤษไม่มีให้ดู

คนไทยอาจจะไม่เห็นความสำคัญของภาษาสแปนิช แต่ขอให้รับรู้ว่า ภาษาที่สองในอเมริกาคือภาษาสแปนิช ด้วยมีผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลในอเมริกาเป็นพวก Hispanic หรือคนเชื้อสายสแปนิช พูดสแปนิชด้วยสำเนียงแตกต่างกันไป

เพื่อนชาวโคลอมเบียนบอกว่า เธอสามารถแยกแยะออกว่า ใครพูดฮิสพานิกแบบผู้ดีหรือใครพูดฮิสพานิกแบบชนชั้นต่ำ

ดังนั้น ป้ายประกาศของทางการในอเมริกาจึงใช้สองภาษาควบคู่กันคือภาษาอังกฤษและสแปนิช

จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่คนในอเมริกาใต้เกือบทั้งหมดจะพูดสแปนิช

ยกเว้นคนบราซิเลียนที่พูดโปรตุกิสเพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส

ลองหาประสบการณ์จากการนั่งรถเมล์ในบัวโนสไอเรส ด้วยนึกว่าพอขึ้นไปบนรถจะจ่ายเงินใส่กล่องเก็บเงินเหมือนในอเมริกา แต่ปรากฏว่าคนโดยสารทุกคนต่างใช้บัตรเติมเงินแตะที่กล่อง ไม่มีการหยอดเงินสด ถึงอย่างไรโชเฟอร์ใจดีก็ให้เรานั่งไปจนถึงที่หมายใกล้พลาซ่า เดอ เมโย

บริเวณนั้นเป็นจุดตั้งต้นของรถบัสนำเที่ยว Hop On Hop Off ซื้อบัตรโดยสารในสำนักงานที่หัวรถ เจ้าหน้าที่สาวคนขายบัตรพอพูดอังกฤษได้ ค่ารถ 950 เปโซ หรือ $26 ตกประมาณ 850 บาท อายุบัตร 24 ชั่วโมง จะขึ้นลงกี่เที่ยวก็ตามใจ

รถ Hop On Hop Off มี 3 สาย สายที่ 1 และสายที่ 2 สายสีแดง วิ่งเชื่อมต่อกัน ส่วนสายที่ 3 เป็นสายสีเขียว วิ่งทับเส้นทางกับสายที่สองบางส่วน จะไปสายที่สามต้องเลือกลงป้ายสายที่สองที่ทับกับสายที่สาม ทั้งสามสายวิ่งครอบคลุมบัวโนสไอเรสทั้งเมือง

บนรถมีหูฟังบรรยายสถานที่ที่รถวิ่งผ่านเป็นภาษาสแปนิช ฝรั่งเศส และอังกฤษให้เลือกฟัง

รถ Hop On Hop Off จะมีสองชั้น ชั้นบนเป็น Open Air เปิดโล่งให้ชมวิว

เมืองไทยเพิ่งมีรถ Hop On Hop Off ในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

เริ่มต้นด้วยรถสายที่ 1 ออกจากหน้าสำนักงาน บนรถจะมีเด็กสาวเป็นโค้ชประจำรถแต่เธอก็พูดอังกฤษไม่ได้ ได้แต่บอกหมายเลขป้ายจอด 2, 3, 4 –พร้อมชื่อสถานที่เท่านั้น

รถพาวิ่งผ่าน Plaza de Mayo เป็นจุดแรก คำบรรยายบอกเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่อย่างคร่าวๆ รวมทั้งหน้าประวัติศาสตร์การปราศรัยของ Evita Peron

แล้วรถพาวิ่งผ่านถนนสายหลักของเมือง ผ่านอาคารสวยงามยุควิกตอเรียที่ได้รับการดูแลอย่างดี ใช้เป็นที่ทำการต่างๆ ทุกอาคารจะเล่าถึงประวัติความเป็นมา ปีที่ก่อสร้าง และชื่อสถาปนิกผู้ออกแบบ

ฟังแล้วก็เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา เพราะอาคารยุควิกตอเรียในบัวโนสไอเรสมีอยู่มากมาย ล้วนได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพที่งดงามทั้งนั้น มีแต่ความตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นบ้านเมืองที่สวยงาม สะอาดสะอ้าน ผู้คนแต่งตัวดีมีวัฒนธรรม

รถพาวิ่งมาไม่นาน ผ่านอาคารสวยงามหลายแห่ง ราวป้ายจอดที่ 2-3 ก็ถึงบริเวณสวนสาธารณะที่นำเสนอภาพตื่นตาตื่นใจ นั่นคือภาพ

ซากุระบานที่บัวโนสไอเรส

เนื่องจากต้นเดือนตุลาคมเป็นฤดูใบไม้ผลิในบัวโนสไอเรสและทั่วอาร์เจนตินา ซากุระที่สวนแห่งนี้จึงให้ดอกผลิบานเรียงแถวยาวตลอดสวนริมถนน เป็นซากุระบานอีกแห่งของโลกที่งดงามมาก

ถึงจะมี 4 ฤดูกาล แต่อาร์เจนตินาไม่เคยมีหิมะตก

พอรถวิ่งลงไปทางด้านใต้ของบัวโนสไอเรสที่เป็นบริเวณท่าเรือ ก็มีแนวดอกซากุระบนเนินสูงให้ชื่นชมความงาม แถบนี้รถติดพอสมควรเพราะมีแถวรถลากตู้คอนเทนเนอร์ต่อคิวกันยาวเหยียดบนท้องถนน

หลุดออกจากเขตท่าเรือ ป้ายจอดที่มีคนขึ้นลงจากรถมากที่สุดคือป้ายจอดที่อะคาเดมีของทีมฟุตบอลโบคา จูเนียร์ส (Boca Juniors) ทีมฟุตบอลอันดับสองของอาร์เจนตินาในปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวพากันเข้าเยี่ยมชมอะคาเดมีของ Boca Juniors

Boca Juniors ตั้งสโมสรมาตั้งแต่ปี 1905 เป็นทีมเก่าแก่ที่สุดในอาร์เจนตินา สนามจุคนดู 49,000 คน

โรงแรมที่ผมพักชื่อ Boca Hotel หรือชื่อเต็มๆ ว่า Boca Juniors Hotel เป็นทรัพย์สมบัติของทีม Boca Juniors ประตูห้องทุกห้องเป็นภาพวาดนักฟุตบอลทีม Boca Juniors

นอกจากนี้ ย่าน La Boca โดยเฉพาะบนถนน Caminito จะเป็นบริเวณที่มีบ้านทาสีสันหลากสีตัดกันทั้งย่าน เป็นร้านอาหารและบาร์ มีทางเดินรอบบริเวณบ้านเหล่านี้ แถบนี้เป็นต้นกำเนิดของระบำแทงโก้และ Tango Club หลายแห่ง

แต่ก็มีคำเตือนว่า เบื้องในของ La Boca คือย่านสลัม จะเดินเที่ยวแถวนี้ต้องระวังการฉกชิงวิ่งราวและการทำร้ายร่างกาย และห้ามเดินในยามค่ำคืนโดยเด็ดขาด

รถนำเที่ยวสายหนึ่งหมดระยะที่ป้าย 20 ใช้เวลาวิ่งมา 2 ชั่วโมง จากนั้นรถคันเดิมก็วิ่งต่อเป็นสายที่ 2 เลย ใช้เวลาวิ่งพอกัน ที่ผมหมายตาไว้ว่าจะมาแวะวันรุ่งขึ้นคือป้ายจอดที่ 22 ชื่อ Out Let เป็นอาคารใหญ่จัดแสดงเสื้อผ้าบูติกของดีไซเนอร์อาร์เจนติเนียน ดูจากหนังสือบนเครื่องบินและแม็กกาซีนเห็นรูปแบบสวยงามไม่เป็นรองดีไซเนอร์ยุโรป

แล้วรถพาต่อไปย่านบูติกของบัวโนสไอเรส ผมชอบถนนสายนี้ที่ไม่กว้าง แต่ร้านรวงสองฝั่งแต่งไว้งดงามสมเป็นเมืองแฟชั่นปารีสแห่งอเมริกาใต้ ให้ความรู้สึกสุนทรีย์แห่งแฟชั่นแพรพรรณตลอดสายถนน

หลายแห่งของสายถนนที่ผ่านไป ปรากฏร้านคาเฟ่ดื่มกินริมฟุตปาธหลายแห่ง มีโต๊ะเก้าอี้และร่มกางสีสดใสในบรรยากาศเย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนนั่งดื่มกินละเลียดความสุขประดุจร้านคาเฟ่ย่านซองเอลิเช่แห่งปารีส

อีกแห่งที่หมายตาไว้คือ Museum of Art พิพิธภัณฑ์ศิลป์แห่งบัวโนสไอเรส แค่เห็นสีสันของตัวอาคาร หัวใจก็ละลายแล้ว

ที่ต้องขอบันทึกไว้ คือซากุระบานต้นใหญ่ในสวนสาธารณะของย่านนี้ ซึ่งเป็นของขวัญจากเจ้าชายอากาชิโน่แห่งญี่ปุ่นมอบให้นครบัวโนสไอเรส

มาเกือบสิ้นสุดเส้นทางสาย 2 ที่บริเวณเสาหิน Obelisk ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของบัวโนสไอเรส เคยเห็นเสา Obelisk ในอียิปต์ที่มีตำนานบอกเล่าถึงบรรดาเทพเจ้าต่างๆ

แต่เสา Obelisk ในบัวโนสไอเรสสร้างเป็นที่ระลึกในวันประกาศเอกราชของอาร์เจนตินา อยู่บนถนนที่ได้ชื่อว่ากว้างที่สุดในโลก ขนาดข้างละ 7 เลน ในย่านจัตุรัส Plaza de la Republica หรือจัตุรัสแห่งสาธารณรัฐ

ส่วนถนนตั้งชื่อตามวันประกาศอิสรภาพของอาร์เจนตินาจากสเปน

Av.9 de Julio หรือ

ถนน 9 th July (1816)