ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ธันวาคม 2561 |
---|---|
เผยแพร่ |
นับตั้งแต่การศึกษาอย่างเป็นระบบเกิดขึ้นในโลกเมื่อประมาณ 150-200 ปีที่ผ่านมา การศึกษาสมัยใหม่ได้ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว
สหประชาชาติคำนวณว่าในอีก 30 ปีข้างหน้าผู้คนจะได้รับการศึกษาในระบบมากเป็นประวัติการณ์ที่มนุษยชาติเคยมีมา
โดยประชากรโลกที่ไม่ได้รับการศึกษาได้ลดลงจากร้อยละ 36 ในปี 2503 เหลือร้อยละ 25 ในปี 2543 มีการเชื่อมโยงการศึกษาจากท้องถิ่นไปสู่การศึกษานานาชาติมากขึ้น มีการเคลื่อนย้ายแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา และเคลื่อนย้ายผู้เรียนระหว่างภูมิภาคประเทศ
สำหรับประเทศไทยได้เปิดการเรียนการสอนขั้นสูงระดับอุดมศึกษามาเป็นเวลากว่า 108 ปีนับตั้งแต่มีการจัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นเมื่อปี 2453 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ระบบอุดมศึกษาของไทยมีพัฒนาการจากการฝึกสอนบุคคลเข้ารับราชการ มาสู่การบริการการศึกษาสาธารณะ และเข้าสู่ยุคการเชื่อมต่อสังคมการศึกษานานาชาติในตามกระแสโลกาภิวัตน์ มีการเคลื่อนย้ายนักศึกษาไปศึกษาต่อต่างประเทศ
และการเปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อในประเทศมากขึ้นในปัจจุบัน
ทั่วโลกมีนักศึกษาต่างชาติ
กว่า 5 ล้านคน
ปัจจุบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาระหว่างประเทศมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ-ยูเนสโก (The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) พบว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมามีนักศึกษาทั่วโลกออกไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับอุดมศึกษาจำนวน 5,085,159 คน
นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา จำนวนนักศึกษาระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 205,355 คน หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มร้อยละ 4.4 ต่อปี
คนจีน-อินเดีย-เยอรมนี
ไปเรียน ตปท.มากที่สุด
ประเทศที่มีคนไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับอุดมศึกษามากที่สุดคือประเทศจีน ในปี 2560 มีจำนวน 869,387 คน
รองลงมาคือ อินเดีย 305,970 คน
อันดับที่สาม เยอรมนี 119,021 คน
อันดับที่สี่ เกาหลีใต้ 105,360 คน
และอันดับที่ห้าคือ ฝรั่งเศส 90,717 คน
ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศที่มีนักศึกษาไปศึกษาต่อต่างประเทศมากที่สุดคือเวียดนาม และอยู่ในอันดับที่เก้าของโลก
มีนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศจำนวน 82,160 คน
ส่วนใหญ่ไปอเมริกา-ยุโรป
ในปี 2560 ปลายทางฃองนักศึกษาระหว่างประเทศมุ่งสู่อเมริกาและยุโรปตะวันตกมากที่สุดร้อยละ 53
รองลงมาคือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ร้อยละ 20
ยุโรปกลางและตะวันออก ร้อยละ 12
และประเทศอาหรับ ร้อยละ 7
กล่าวได้ว่าอเมริกาและยุโรปครองส่วนแบ่งตลาดการศึกษาระหว่างประเทศมากที่สุดเกินกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดการศึกษาต่างชาติทั่วโลก
คนไทยไปเรียนนอก
ปีละ 2.8 หมื่นคน
การไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาต่างประเทศของคนไทยในปี 2555 มีจำนวน 26,416 คน ต่อมาในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 29,884 คน คิดเฉลี่ยในรอบ 6 ปีที่ผ่านมามีจำนวนประมาณปีละ 28,029 คน เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 694 คน หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มร้อยละ 2.5 ต่อปี
การไปศึกษาต่อต่างประเทศของคนไทยอยู่ในอันดับที่ 40 ของโลก อยู่ในอันดับที่ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบอัตราการไปศึกษาต่อต่างประเทศของนักศึกษาในโลก ถือว่าคนไทยมีอัตราการไปศึกษาต่อต่ำกว่าอัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยของนักศึกษาทั่วโลก
โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี
ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ต่อปี
ตลาดอาเซียนโตปีละ 6%
พิจารณาในแง่ตลาดขาเข้าของนักศึกษาต่างชาติ สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2560 ที่ผ่านมามีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาจำนวน 199,239 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.9 ของจำนวนนักศึกษาที่ศึกษาต่อต่างประเทศทั่วทั้งโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามายังภูมิภาคอาเซียน นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา มีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11,757 คนต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 6.3 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มที่สูงมากกว่าอัตราการเพิ่มของนักศึกษาต่างชาติเฉลี่ยทั่วโลก (ที่มีอัตราการเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 4.4 ต่อปี) โดยเฉพาะในปี 2556 และปี 2557 อัตราการเพิ่มสูงถึงร้อยละ 17.6 และร้อยละ 14.8
ตลาดการศึกษาต่างชาติของอาเซียนถือว่าขยายตัวเป็นไปในทางที่ดี มีอัตราการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอื่นในโลก
ตลาดไทยจากขาดดุลเข้าสู่เกินดุล
เมื่อนับจำนวนคนศึกษาต่อต่างประเทศระหว่างขาออกกับขาเข้า ในตลาดการศึกษาของไทย พบว่า ในปี 2555 คนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ 26,416 คน มีคนต่างชาติเข้ามาศึกษาในไทย 20,309 คน คิดเป็นส่วนต่างติดลบ -6,107 คน
ต่อมาในปี 2559 คนไทยไปศึกษาต่อต่างชาติ 30,375 คน ในขณะที่คนต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 31,571 คน คิดเป็นส่วนต่างเพิ่มขึ้น 1,196 คน
นับว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางที่ดี
โดยตลาดการศึกษาต่างประเทศของไทยคิดเป็นอัตราส่วนประมาณร้อยละ 15.0 ของตลาดการศึกษาต่างประเทศในอาเซียน และคิดเป็นอัตราร้อยละ 0.6 ของตลาดการศึกษาต่างประเทศในโลก
มหาวิทยาลัยยอดนิยมของไทย
จากข้อมูลระบบสารสนเทศของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ปี 2560 พบว่า มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาระดับปริญญาตรีมากที่สุดอันดับแรกคือ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) มีผู้มาเรียนร้อยละ 15.10
รองลงมาคือ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ร้อยละ 9.17
อันดับที่สาม มหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด ร้อยละ 7.49
อันดับที่สี่ มหาวิทยาลัยสยาม ร้อยละ 4.66
และอันดับที่ห้า มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ร้อยละ 4.61 คนตามลำดับ
โดยภาพรวมสถานการณ์การศึกษาระหว่างประเทศของไทยมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น โดยคนไทยมีอัตราการไปเรียนต่อเมืองนอกไม่สูงตามกระแสโลก คนต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อในประเทศไทยมากขึ้น
ในโอกาสนี้ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศควรร่วมมือกันอย่างจริงจังจัดทำนโยบายส่งเสริมตลาดการศึกษานานาชาติของไทยให้ก้าวหน้าเข้มแข็ง
เพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทย อำนวยความสะดวก และดึงดูดความสนใจนักศึกษาต่างชาติให้เข้ามาเรียนในประเทศไทย รองรับกับตลาดการศึกษาของอาเซียนที่กำลังเติบโตให้ได้มากที่สุด