เรื่องดีเคล้าน้ำตา ที่มะละแหม่ง กับการแบ่งปัน “แสงสว่าง”

มะเมียะ 2018 กับการแบ่งปัน “แสงสว่าง” เรื่องดีเคล้าน้ำตา ที่มะละแหม่ง

“หวังว่า การคืนสายตาให้มะเมียะครั้งนี้ จะทำให้มองเห็นเจ้าชายเชียงใหม่หล่อขึ้น”

คำกล่าวเปรียบเปรยของ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และประธานกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี

ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงปรบมือกราวใหญ่

ณ โรงพยาบาลเมาะลำไย เจเนอรัลด์ รัฐมอญ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา

ทำให้มี “การบ้าน” ที่ต้องทำต่อ 2 ประการ

ประการหนึ่ง ทบทวนตำนานอันแสนเศร้า “มะเมียะ”

ประการหนึ่ง ไปทำความรู้จัก “โครงการคืนสายตา” ให้ชาวเมาะลำไย หรือเรารู้จักกันในนามมะละแหม่ง

กล่าวสำหรับ “มะเมียะ”

จะทบทวนความจำได้ง่ายและกระชับที่สุด คงไม่พ้นต้องย้อนกลับไปฟังเพลงของ “จรัล มโนเพ็ชร”

ซึ่งเป็นตำนานรักของ “เจ้าชายศุขเกษม” กับ “มะเมียะ”

“…มะเมียะเป๋นสาวแม่ก้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง

งามล้ำเหมือนเดือนส่างแสง คนมาแย่งหลงฮักสาว

มะเมียะบ่ยอมฮักไผ มอบใจ๋ฮื้อหนุ่มเจื้อเจ้า

เป็นลูกอุปราชเท้าเจียงใหม่ แต่เมื่อเจ้าชายจ๋บก๋านศึกษา

จ๋ำต้องลาจากมะเมียะไป เหมือนโดนมีดซับดาบฟันหัวใจ๋

ปลอมเป๋นป้อจายหนีตามมา เจ้าชายเป๋นราชบุตร

แต่สุดที่รักเป๋นพม่า ผิดประเพณีสืบมาต้องร้างราแย่งทาง

โอ๊ โอ้ ก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง

เจ้าชายก็จั๊ดขบวนจ๊าง ไปส่งนางคืนทั้งน้ำต๋า

มะเมียะตรอมใจ๋อาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา

สยายผมลงเจ๊ดบาทบาทา ขอลาไปก่อนแล้วจ๊าดนี้

เจ้าชายก็ตรอมใจ๋ตาย มะเมียะเลยไปบวชชี

ความฮักมักเป๋นจะนี้แลเฮ้อ…”

(ละอ่อนเมืองแป้ ถอดเนื้อเพลง https://www.musicatm.com/lyric/เนื้อเพลง-มะเมียะ-4687.html)

ความรักของเจ้าชายศุขเกษมกับมะเมียะ เป็นไปตามการเปรียบเปรย

ความรักทำให้ตาบอดและจมจ่อมอยู่ในโลกมืด

อันนำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด

ย้อนกลับมาสู่กาลปัจจุบัน

แม้ไม่มีตำนานรัก หนุ่มไทยและสาวพม่าอีกแล้ว

แต่คำว่า “โลกมืด” ยังไม่ไปไหน

ยังคงเป็นความทุกข์ยากและโศกเศร้าของชาวเมาะละแหม่งหรือเมาะลำไยอยู่อีกมากมาย

นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ให้ข้อมูลว่า จากสถิติของทางการเมียนมาชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันในรัฐมอญ ที่มีเมาะลำไยเป็นเมืองหลักนั้นมีผู้ที่เสี่ยงต่อการมีปัญหาโรคตาจำนวน 53,000 คนจากประชากรกว่า 2,055,000 คน และใกล้กันในรัฐกะเหรี่ยงมีผู้ที่เสี่ยงต่อการมีปัญหาโรคตาจำนวน 31,000 คนจากประชากรกว่า 1,432,000 คน

ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ยากจน ไม่มีเงินค่ารักษา ต้องปล่อยให้สายตาเสื่อมลง และตาบอดในที่สุด

กลายเป็นความทุกข์ซ้ำซ้อนต่อการมีชีวิตอยู่อย่างยิ่ง

จากความทุกข์ยากดังกล่าว

ทำให้โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ร่วมมือกับบริษัท เอสซีจี ประเทศไทย และเมาะลำไย ซีเมนต์ จำกัด (เอ็มซีแอล) ซึ่งเป็นบริษัทที่เอสซีจีเข้าไปลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในเมืองเมาะลำไย

ร่วมกันทำโครงการ Sharing a Brighter Vision 2018 ขึ้น

เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ ที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้

โดยนำคณะจักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และอุปกรณ์ เครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย อย่างเครื่องสลายต้อกระจกและเลนส์แก้วตาเทียมคุณภาพสูง

เดินทางไปให้บริการผู้ป่วยในพื้นที่รัฐมอญ และผู้ป่วยในรัฐคะหยิ่นหรือกะเหรี่ยง

โดยกระทำต่อเนื่องมาแล้วปีที่ 4 เพื่อบรรเทาอาการสายตามืดมัวจากการเสื่อมของเลนส์ตา

ปีนี้ได้ให้การผ่าตัดแก่ผู้ป่วยโรคต้อกระจกตาในพื้นที่เมืองเมาะลำไย รัฐมอญ และขยายการรักษาไปยังผู้ป่วยเมืองผะอัน รัฐกะเหรี่ยง รวม 260 ราย

ซึ่งแม้จะน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการ

แต่ก็ถือเป็นความมหัศจรรย์ และเป็นความอดทน ทุ่มเท ของคณะแพทย์อย่างยิ่ง

เพราะในจำนวน 260 รายนั้นใช้เวลาผ่าตัดแค่ 2 วัน

แพทย์ต้องง่วนอยู่กับการผ่าตัดแทบไม่มีเวลาแม้แต่รับประทานอาหาร ในห้องผ่าตัดอันเล็กและคับแคบ คนไข้จะถูกส่งเข้าไปพร้อมกันครั้งละ 4 คน มีล่าม มีพยาบาล แออัดอยู่ในนั้น

แต่ทุกคนทำงานอย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ

แพทย์ต้องใช้การหมุนตัวจากคนไข้รายหนึ่งไปยังคนไข้อีกรายหนึ่ง เพื่อให้ประหยัดเวลาในการผ่าตัดมากที่สุด

เพราะเมื่อมองออกไปนอกห้อง ภาพคนไข้ยังนั่งรอยาวเหยียด

และแน่นอน ทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง

ความหวังที่จะได้มองเห็นอีกครั้ง

โรงพยาบาลเมาะลำไย เจเนอรัลด์ ซึ่งมีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม วันที่ “โครงการ Sharing a Brighter Vision 2018” ดำเนินการ กลับสว่างไสว มีชีวิตชีวา

เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งจากคนไข้ ญาติพี่น้อง แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร

รวมถึงผู้บริหารเอสซีจีจากประเทศไทย ที่ปลีกเวลาไปร่วมให้กำลังใจกันอย่างพร้อมหน้า

นอกจาก นพ.เกษมแล้ว ยังมีนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี รวมถึงนายกานต์ ตระกูลฮุน นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการเอสซีจี

สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ร่วมกันนั่นคือโลกใบใหม่ที่พวกเขาจะได้เห็น หลังจากมืดมัวมาหลายปี

จึงไม่น่าประหลาดใจ ณ โรงพยาบาลแห่งนั้น จะเต็มไปด้วยดราม่า

โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลา “เปิดตา” หลังจากผ่าตัดไป 24 ชั่วโมง

น้ำตาจากคนไข้และญาติพี่น้องอาบใบหน้า

เมื่อดวงตาสัมผัสกับแสงสว่าง และกลับคืนมามองเห็น แม้จะเพียงข้างเดียว แต่ก็เหมือนโลกเปลี่ยนไป

เสียงสวดมนต์ เสียงขอบคุณแพทย์ เสียงขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนอย่างเอสซีจี ดังระงม

เราแม้จะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่เมื่อเขารู้ว่าเป็นคนไทย คำขอบคุณก็พรั่งพรู

อย่างสาววัย 31 ปีคนนั้น

เธอมาเป็นแม่บ้านอยู่ในกรุงเทพฯ หลายปี จนพูดไทยได้คล่องแคล่ว

เธอโผเข้ามาไหว้

และขอบคุณคนไทย ประเทศไทย อย่างไม่ขาดปาก

“หนูจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย ที่ทำให้แม่ของหนูกลับมามองเห็นอีกครั้ง”

เธอเล่าว่า มาเป็นแม่บ้านที่กรุงเทพฯ พยายามอดออมเงินเพื่อเป็นค่ารักษาตาให้แม่ แต่ก็ไม่พอ

ด้วยเพราะต้องเลี้ยงดูลูกอีก 2 คน ขณะที่พม่าก็มีอาชีพแค่ทำนา เมื่อแม่มามองไม่เห็นอีก ก็แทบทำอะไรไม่ได้

รายรับแทบจะไม่พอรายจ่าย

อดออมอย่างไรก็ไม่พอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายผ่าตัดตาให้แม่ ซึ่งต้องใช้เงินมากถึง 2 หมื่น-3 หมื่นบาท

ในความริบหรี่เหมือนสายตาแม่ เธอได้รู้ว่าเอสซีจีกับโรงพยาบาลบ้านแพ้วจะมีการผ่าตัดต้อกระจกและเปลี่ยนเลนส์ให้ฟรี

จึงให้แม่รีบไปสมัครและโชคดีที่ได้รับการคัดกรองให้ผ่าตัดได้

หลังได้รับข่าวดี เธอตัดสินใจลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ บ่ายหน้ากลับบ้านเมาะลำไย โดยใช้เวลา 2 วัน 2 คืน เพื่อพาแม่มาผ่าตัดและช่วยดูแลอีกระยะหนึ่ง

จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป จะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีกหรือไม่

ส่วนการพาแม่มาผ่าตัดครั้งนี้ ต้องไปอาศัยวัดนอน เพราะบ้านอยู่ไกล ส่วนข้าวปลาอาหาร ทางเอสซีจีเขามีข้าวกล่องแจกให้กินทุกมื้อ ดูแลเป็นอย่างดี

“ผ่าตัดเสร็จ พาแม่กลับไปนอนวัด หนูนอนไม่หลับ คอยบอกแม่ให้ทำตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด และลุ้นว่าเมื่อเปิดตาแล้วแม่จะมองเห็นไหม”

และที่สุด ทุกอย่างก็สว่างไสว

แม่เธอกลับมามองเห็นอีกครั้ง

“ขอบคุณคนไทย ขอบคุณประเทศไทย” เธอพร่ำบอกพร้อมน้ำตาที่ไหลรินผ่านใบหน้าที่กร้านแดดของคนผ่านการทำงานหนัก

ใช่… เธอไม่ได้สวย ไม่ได้มี “ผิวเหมือนพม่า”

แต่เรากลับหวนคิดไปถึง-มะเมียะ

มิใช่มะเมียะในตำนาน ที่จมในโลกมืด

หากเป็นมะเมียะ 2018 ที่มีความหวังกับ “แสงสว่าง” อีกครั้ง