สัมภาษณ์พิเศษ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” คนข้างหลัง “บิ๊กตู่” ในนามพรรคพลังประชารัฐ

: 4 ปีที่ผ่านมาคุณหายไปไหน

ผมกลับไปอยู่กับครอบครัว ช่วยดูงานของที่บ้าน เพราะตลอดเวลาที่เล่นการเมือง ผมไม่ค่อยได้ช่วยพวกเขาเลย คิดว่าหลัง คสช.เข้ามา แล้วมีรัฐบาลบริหารประเทศ เราก็ควรหยุดเพื่อทบทวนเรื่องต่างๆ ที่แล้วมา ซึ่งต้องยอมรับว่ามีบางเรื่องที่ตัดสินใจโดยไม่ได้ใช้เวลาคิดมากนัก

นอกจากนี้ ผมยังได้เวลาไปหาความรู้เพิ่มเติม ด้วยการไปเรียนหลักสูตรต่างๆ ทำให้ได้เจอผู้คนมากมาย

ผมใช้เวลาคิดด้วยว่า จากนี้บ้านเมืองเราจะเดินหน้ายังไง จึงได้รวบรวมคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะมาทำงานการเมืองแบบใหม่ๆ ไม่ได้คิดว่าคนกลุ่มนี้จะต้องไปอยู่พรรคการเมืองใด แค่ลองดู

แต่เมื่อทำแล้วก็พบว่าเป็นโอกาสอันดี ที่คนกลุ่มนี้จะได้ลงมือแก้ไขปัญหาพัฒนาประเทศ เพราะไม่ง่ายนักที่คนรุ่นใหม่ ซึ่งอายุยังไม่มาก จะได้มีโอกาสเข้ามาในแวดวงการเมือง

: ทำไมอยู่ๆ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการนายกฯ

ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ อาจารย์สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เคยทาบทามให้ไปช่วยงานในการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่บังเอิญผมไม่ถนัดในด้านนั้น จึงปฏิเสธท่านไป

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็รับรู้ว่าผมกำลังทำงานกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งท่านให้ความสนใจในสิ่งที่เราทำ เราจึงมีโอกาสเล่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ฟัง ท่านก็สนใจ

แต่การมาครั้งนี้ ไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองใดๆ ผมยืนยัน

: เหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์เลือกให้มาช่วยทำงานการเมืองโดยเฉพาะ

พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้มีเงื่อนไขทางการเมืองกับผม การเลือกตั้งก็ว่ากันไป เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว ทุกอย่างก็คงดำเนินการตามที่ควรจะเป็น เพราะสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าต้องการการเมืองแบบไหน ต้องการผู้นำแบบใด ผมเชื่อว่าคนไทยตระหนักดีว่า 4 ปีมานี้ บ้านเมืองเราสงบเรียบร้อยเพราะอะไร

ผมว่าความสงบเรียบร้อยเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศ ก่อนจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ ถ้าประเทศไม่สงบ เราจะไม่มีโอกาสแก้ไขปัญหาเลย

ผมมั่นใจในแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ความสงบต้องมาเป็นอันดับ 1 เพราะที่แล้วมาบ้านเมืองเราไม่สงบ ปัญหาต่างๆ จึงไม่ถูกแก้ไข วันนี้ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขเพราะบ้านเมืองสงบ ดังนั้น ประชาชนจะเป็นคนตัดสินว่าประเทศเราควรจะมีผู้นำแบบใด

: แสดงว่าช่วย พล.อ.ประยุทธ์เต็มที่?

แน่นอน ผมตัดสินใจแล้ว ทุกอย่างชัดเจน ผมเป็นคนชัดเจน และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยบังคับผม ว่าจะต้องไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคการเมืองใด ไม่เคยตีกรอบ ไม่เคยมีเงื่อนไขกับผม ที่ผมเข้าพรรคพลังประชารัฐนั้น ผมตัดสินใจเอง แต่ตอนนี้ผมทำงานในตำแหน่งรองเลขาฯ นายกฯ ผมก็จะทำอย่างเต็มกำลัง

การเมืองเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งผมก็จะพยายามผลักดันแนวคิดของคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

: มั่นใจในพรรคพลังประชารัฐมากน้อยเพียงใด

ยืนยัน ไม่รู้มาก่อนว่าจะได้เข้าพรรคพลังประชารัฐ แต่เมื่อมีโอกาส ผมก็เข้าไป ผมคิดในพื้นฐานของความเป็นจริง ผมตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ มีเหตุผลหลักๆ 2 เรื่อง

1. เป็นโอกาสที่ผมจะได้นำทีมคนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานทางการเมือง เพราะไม่ง่ายหากคนกลุ่มนี้จะไปลง ส.ส. หรือร่วมทำงานกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่หรือขนาดกลางในประเทศไทย

2. ผมมองว่าพรรคพลังประชารัฐเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่อย่างมาก ดังจะเป็นจากหัวหน้าพรรค นายอุตตม สาวนายน เลขาฯ พรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ โฆษกพรรค นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล คนเหล่านี้ยังไม่เคยลงเลือกตั้งเลย จึงถือว่าเป็นหน้าใหม่ทางการเมืองทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้เป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ด้วย

และเร็วๆ นี้คงจะชัดเจนขึ้นว่าใครจะมีบทบาทอย่างไรบ้างในพรรคพลังประชารัฐ สำหรับผมยินดีทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์

: ในอนาคตมองได้ว่า กปปส.ในพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นตัวดีลกับพรรคของนายสุเทพ และพรรคประชาธิปัตย์

คิดว่าไม่ใช่ คนอาจจะมองได้ เพราะเราเป็นนักการเมือง การเป็นนักการเมืองนั้นมีมิตรสหายทุกพรรค พูดคุยกันได้หมด แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกผมจะทำหน้าที่พูดคุยกับพรรคนั้นพรรคนี้ เพราะทุกคนจะต้องทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเราเป็นนักการเมืองที่รู้จักคนมาก เรื่องที่ถูกมองถึงความเชื่อมโยงในอนาคต ผมว่ามันยังอีกไกล ยังใช้เวลาอีกนาน

ผมก็เหมือนกับประชาชนทั่วไปที่ฝันอยากเห็นพรรคการเมือง สะท้อนความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง มีคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก ผมว่าความขัดแย้งต่างๆ ควรยุติได้แล้ว ให้ประเทศไทยมีโอกาสเดินไปข้างหน้า เพราะความขัดแย้งในประเทศนี้มีนานเกินไปแล้ว เราควรเปิดโอกาสให้ทุกอย่างเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น

คือผมอยากให้ประชาชนมองนักการเมืองในมุมที่ดีขึ้น เพราะต้องยอมรับ ที่แล้วมาภาพลักษณ์ของนักการเมืองในสายตาประชาชนไม่ค่อยดี โดยมาจากพฤติกรรมของนักการเมืองที่กล่าวหาว่าร้าย โทษกันไปมา ทำให้ภาพลักษณ์ของเราไม่ดีในสายตาประชาชน

ดังนั้น เราควรสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ลดความขัดแย้ง ดึงคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามามากๆ