จากมารดา “ธงทอง จันทรางศุ” กับงานเขียน “แม่คุยกับลูก” : ความทรงจำจากคุณยาย

แม่คุยกับลูก (10)

เมื่อเย็นนี้แม่ยังพูดกับพ่อว่า เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วนัก เมื่อต้นเดือนนี้เองคุณยายของลูกเสียชีวิตมาครบ 20 ปีเต็มแล้ว

ก่อนวันนั้นสัก 2-3 วัน พวกพี่น้องแม่ชวนกันไปที่วัดสังฆทาน นำเอาสตางค์ที่เรารวบรวมกันมา (รวมทั้งของลูกที่ฝากแม่ไปด้วย) ไปทำบุญที่วัดนั้น เป็นต้นว่า ร่วมในพิธีบวชพระที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รวมทั้งแบ่งถวายเป็นค่าอาหารพระ และค่าน้ำ-ค่าไฟด้วยตามกำลังของพวกเรา

พูดถึงการบำเพ็ญส่วนกุศลให้บรรพบุรุษตามวาระและโอกาสอันควรตามที่พวกพี่ๆ น้องๆ ทั้งทางพ่อและแม่ได้ปฏิบัติอยู่ในเวลานี้นั้น แม่เองก็รู้สึกดีใจที่พวกเราได้ร่วมใจกันทำเสมอมามิได้ขาด

แม่เองคิดอยู่เสมอว่า โอกาสที่คนเราจะแสดงกตเวทีต่อบรรพบุรุษของเราที่ล่วงลับไปแล้วนั้น นอกจากจะทำตนให้เป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมตามที่ท่านได้เคยพร่ำสอนเรามาแล้วก็เห็นจะเป็นการบำเพ็ญกุศลตามความสะดวกและกำลังของตนเองนี่แหละ

แม่ดีใจที่เห็นหน่าและยุ้ยยังถือว่าการทำบุญให้คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และพยายามไปร่วมอยู่เสมอถ้าไม่ติดธุระจำเป็นจริงๆ และแม่ก็หวังว่าต่อๆ ไปลูกก็คงจะได้สอนลูกหลานของลูกตามที่ได้เห็นต่อๆ กันมา

แต่ถ้าขัดสนจริงๆ ใส่บาตรด้วยข้าวสักถ้วยหนึ่งก็คงมีค่าเท่ากับเลี้ยงพระทั้งวัด ถ้าลูกมีความตั้งใจจริง

แม่คิดถึงสมัยที่แม่ยังเป็นเด็ก ในตอนนั้นแม่อาจจะยังไม่เข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งนัก เมื่อเห็นคุณยายใส่บาตรสวดมนต์ไหว้พระหรือไปทำบุญที่วัด

แต่พอมามีครอบครัวของตนเองเข้า พอถึงวันเกิดพ่อ วันเกิดแม่ วันเกิดลูก วันครบรอบแต่งงาน แม่ก็เตรียมแต่ของใส่บาตรเป็นประจำ

ยิ่งพอคุณยายมาเสียชีวิตลง แม่ก็เลยใส่บาตรเป็นประจำทุกวันเสียเลย

มาคิดๆ ดู แม่ก็ทำเหมือนกับที่เคยเห็นคุณยายทำมานั่นแหละ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติจ้ะ

คนเขาถึงได้พูด ได้เตือนกันว่า ทำอะไรทำให้มันดีๆ นะ ระวังลูกมันจะเอาอย่าง

ก็เพราะว่าพ่อแม่มักจะเป็นแบบฉบับสำหรับลูกๆ

ตัวลูกเองเมื่อมีครอบครัวไป ก็ควรจะพยายามทำตัวให้เป็นแบบฉบับที่ดีสำหรับลูกๆ แต่ก็อย่าไปผิดหวังให้มากนัก ถ้าลูกไม่ได้ดีเท่าที่เราคิด

เพราะไม่มีใครหรอกที่จะได้สมหวังไปเสียในทุกๆ เรื่อง

คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องผ่านทั้งทุกข์และสุข

เวลาได้อะไรมา ก็อย่าไปดีใจให้มันมากนัก เวลาเสียไปก็อย่าไปเสียใจให้มากนัก

ทุกสิ่งทุกอย่างมันมาถึงแล้วก็ย่อมผ่านเลยไป ไม่มีอะไรอยู่กับที่เหมือนกับเข็มนาฬิกา เหมือนกับเวลาและอายุที่ล่วงเลยไป

นึกถึงแต่สิ่งที่ดีๆ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ ไว้ แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นก็ให้เกิดไป

พูดถึงเรื่องของความกตัญญูแล้วแม่ก็เลยนึกออกว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ลูกฟัง

สมัยก่อนตั้งแต่แม่ยังไม่เกิด แม่จำได้ว่าคุณยายเล่าให้ฟังว่า มีคนจีนผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับครอบครัวของคุณตาเป็นอย่างดี คนจีนผู้นี้มีลูกชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนรักเรียน มีความมุมานะในการศึกษามาก เด็กหนุ่มคนนี้บากบั่นพยายามที่จะเป็นนักกฎหมายให้จงได้

ในสมัยนั้นคุณปู่ของแม่ท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดทางศาลท่านหนึ่ง ซึ่งก็ได้มีลูกๆ เรียนกฎหมายและทำงานเจริญตามรอยท่านมาหลายคน รวมทั้งตัวคุณตาของลูกด้วย

ชาวจีนผู้นี้ได้นำบุตรชายมาฝากไว้ที่บ้านคุณตาของลูกด้วย หวังว่าจะได้พึ่งพาและเด็กก็จะได้รับการอบรมแนะนำไปในทางที่ถูกที่ควร

เด็กหนุ่มผู้นี้ คุณยายเล่าว่าขยันเล่าเรียนมาก ตกเวลากลางคืนก็คงจะเกรงใจเพราะสมัยนั้นเราก็เพิ่งจะมีไฟฟ้าใช้กัน เวลานอนก็มักจะปิดไฟนอนกันแต่หัวค่ำ คุณยายเล่าว่าเด็กหนุ่มคนนี้มักจะจุดเทียนดูหนังสืออยู่คนเดียวจนดึกจนดื่น

ในที่สุดความมานะพยายามก็นำมาซึ่งความสำเร็จ

เด็กหนุ่มผู้นี้เรียนจนกระทั่งจบกฎหมาย มิหนำซ้ำยังสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ

สมัยนั้นการเดินทางไปยังต่างประเทศ เราใช้อยู่วิธีเดียวเท่านั้นคือไปทางเรือ

วันที่เด็กหนุ่มผู้นี้เดินทางออกจากเมืองไทย มีคนไปส่งเพียง 2 คนเท่านั้นเอง คือคุณตาของลูกกับพ่อของเขา

คุณยายเล่าว่า วันนั้นคุณตาเพิ่งไปรับเงินเดือนมาพอดี ตอนนั้นคุณยายบอกว่าคุณตามีเงินเดือนตั้ง 3 ชั่งแน่ะจ้ะ สมัยนั้นเราจ้างคนใช้กันแค่เดือนละ 4 บาท คนเงินเดือน 20 บาทก็สามารถเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้รอดแล้ว

ความที่คุณตาสงสารว่าฐานะของเขายากจน ญาติพี่น้องก็ไม่มี มิหนำซ้ำยังจะต้องเดินทางไปผจญโลกอีกเป็นระยะเวลายาวนาน คุณตาก็เลยควักกระเป๋าเอาเงินเดือนออกมาให้เขาไปจนหมด

คุณตากลับมาเล่าให้คุณยายฟังว่า พ่อของเด็กคนนั้นคว้ามือของคุณตาไปกุมพร้อมกับร้องไห้ พร่ำบอกแต่ว่าจะไม่ลืมบุญคุณคุณตาไปจนชั่วชีวิต

เวลาผ่านไปอีกหลายปี ชายหนุ่มผู้นั้นกลับมาพร้อมด้วยความสำเร็จ เขาจบเนติบัณฑิตมาจากประเทศอังกฤษ เขารับราชการอยู่ในกระทรวงยุติธรรมสมดังความมุ่งหมายของเขาและบิดาทุกประการ

ทั้งคุณตาของลูกและชายหนุ่มผู้นี้ต่างก็แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพเสียหลายสิบปี

จนกระทั่งคุณตาของลูกย้ายครอบครัวจากต่างจังหวัดกลับเข้ามาอยู่ในพระนครใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มในอดีตซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ที่มีเกียรติท่านหนึ่งในกระทรวงยุติธรรมก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่มิได้ขาด จนกระทั่งคุณตาของลูกถึงแก่ชีวิต

เมื่อคุณตาเสียไปแล้วนั้นคุณยายมีสิทธิ์ได้รับเงินบำนาญตกทอดตามระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่

ท่านผู้นั้นก็ปวารณาตัวขอทำหน้าที่เป็นผู้จัดไปการรับเงินบำนาญนั้นมามอบให้แก่คุณยายจนถึงบ้าน

ท่านทำหน้าที่อันนี้อยู่สิบปี คุณยายก็เสียชีวิตไปอีกผู้หนึ่ง

นับตั้งแต่วันที่คุณตาเสียชีวิตไป ลูกๆ หลานๆ จะพร้อมใจกันทำบุญเลี้ยงพระบังสุกุลให้ท่านยังวัดที่พวกเรานำอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ทุกปีมิได้ขาด

ครั้นคุณยายสิ้นชีวิตลง เราก็นำอัฐิไปบรรจุรวมกันไว้ ส่วนวันที่บำเพ็ญกุศลประจำปีนั้น พวกเราจะทำในวันที่ตรงกับวันเสียชีวิตของคุณตาตามที่คุณยายได้สั่งเอาไว้

ลูกเชื่อไหมว่าท่านผู้ที่แม่กล่าวถึง มาร่วมบำเพ็ญกุศลกับพวกเรามิได้ขาดมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว

ตอนนี้ท่านผู้นี้ก็ได้ปลดเกษียณอายุราชการมานานปีแล้ว อายุในราว 80 ปีเศษ

พวกเรากลุ้มใจกันมาก เพราะตอนหลังๆ มานี้ท่านเดินไม่ค่อยจะไหวแล้ว เราอยากจะให้ท่านพักผ่อนเสียบ้าง แต่ท่านก็ไม่ยินยอม

วันที่ทำบุญ ถ้าไม่โทรศัพท์ไปเรียนท่านก่อน ท่านก็จะให้ภรรยาของท่านติดต่อเรามา

มา 2 ปีหลังนี้ท่านเดินไม่ได้แล้ว แต่ก็ให้บุตรชายนำตัวท่านใส่รถเข็นมาร่วมงานกับพวกเราจนได้

บุตรชายท่านผู้นำท่านมาร่วมงานกับเราผู้นี้เป็นคนเดียวที่เจริญรอยอาชีพตามท่านผู้เป็นบิดา ปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาหนุ่มที่เรียบร้อยน่ารัก และมีอนาคตไกลเป็นที่ภูมิใจของบิดามาก

ครั้งล่าสุดที่เราได้พบท่าน ท่านรับประทานอาหารเองไม่ค่อยได้ ต้องมีคนช่วย

คุณป้าศรีกับแม่ผลัดกันไปตักอาหารป้อนให้ท่าน แม่เอ่ยปากขอร้องให้หยุดพักเสียบ้าง ไม่ต้องกังวลกับงานประจำปีของเรานัก

ท่านยิ้มอย่างน่ารักแล้วตอบแม่ว่า

“ผมไม่มาไม่ได้หรอกครับ ผมต้องมาทุกปีจนกว่าชีวิตผมจะหาไม่…” ท่านนิ่งไปอึดใจหนึ่งสายตาลอยเหมือนจะย้อนไปอยู่อดีต “…ผมยังจำได้ดี…วันหนึ่ง…ผมยืนอยู่ที่ท่าน้ำ อยากจะลงเรือข้ามฟากไปเรียนหนังสือ แต่ไม่มีเงินติดตัวสักสตางค์ พอดีคุณพระเดินมา ผมตัดใจเดินเข้าไปหา…ถามว่า คุณพระจะช่วยออกสตางค์ค่าเรือข้ามฟากให้ผมได้ไหม คุณพระถามว่าเท่าไหร่ล่ะ ผมบอกเดือนละ 4 บาท คุณพระหัวเราะบอกผมว่าทำไมจะไม่ได้เล่า ผมยังจำวันนั้นได้ไม่มีลืม”

แม่ได้ยินแล้วน้ำตาจะร่วงเสียให้ได้ คุณพระที่ท่านพูดถึงก็คือคุณตาของลูกนั่นเองจ้ะ

ท่านผู้นี้ ความจริงแล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีเกียรติมีชื่อเสียงมากผู้หนึ่ง ถ้าเอ่ยชื่อแล้ว ใครๆ ก็คงรู้จัก

ที่แม่พูดถึงท่านในวันนี้ มิได้มีเจตนาจะลบหลู่ นอกจากจะขอสรรเสริญในคุณความดีของท่าน

อยากจะขอยกเอาตัวท่านให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ลูกควรจะจดจำเอาไว้

สมดังที่พระท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า อันความกตัญญูนั้นเป็นเครื่องหมายของคนดี

และคุณความดีอันนี้ แม่คิดไว้ว่าคงจะช่วยส่งผลให้บุตรหลานของท่านผู้นี้จะได้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองไปเบื้องหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย