ใครๆ ก็มา Amazing Cambodia มหัศจรรย์ กัมพูชา (วันแรก)

เมื่อครั้งตั้งใจวางแผนจะไปเที่ยวกัมพูชา ก็เริ่มทำการบ้าน

ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ไปมาเลเซียและสิงคโปร์ เพราะว่าระดับการคาดเดาได้ของสถานการณ์มันจะต่ำกว่า

หรืออธิบายง่ายๆ ว่า ไปมาเลเซียกับสิงคโปร์ คือไปที่ที่ดีกว่าหรือใกล้เคียงกับประเทศไทย

แต่ไปกัมพูชา สิ่งต่างๆ เชื่อได้เลยว่าต้องใช้ทักษะในการผจญภัยมากกว่าแน่นอน

ดังนั้น จึงต้องทำการบ้านกันเป็นอย่างดี

คำเตือนนักท่องเที่ยวจากสถานทูตต่างประเทศ ดูแล้วอย่างกับว่ากัมพูชาอยู่ในเขตสงครามเลยทีเดียว

แต่พอดูใน YouTube ปรากฏว่า นักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกาก็มาเที่ยวกัน

และบอกว่า คำเตือนจากสถานทูตน่ะมันบ้าไปแล้ว ที่กัมพูชานี่มันไม่ได้เป็นอะไรอย่างนั้นเลย

มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นฝรั่ง ไม่แน่ใจว่าชาติไหน บอกว่าตัวฉันนี่น่ะเป็นคนขี้กลัวมากๆ ทำอะไรก็กลัวไปหมด นี่จะมาเที่ยวกัมพูชาก็ศึกษาแล้วศึกษาอีก ฉีดวัคซีนมาหลายเข็มป้องกันทุกโรคตามที่สถานทูตและองค์การอนามัยโลกแนะนำ (มันจะไปเที่ยวหรือจะไปไหนเนี่ย)

แต่พอมาถึงนะ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

ความรู้สึกปลอดภัยเวลาที่เดินอยู่ในกัมพูชามีมากกว่าเวลาที่เดินอยู่ในกรุงโรมซะอีก…

ฉันเดินสบายใจมาก และไม่ได้กอดกระเป๋าไว้เลย ซึ่งฉันคงจะทำแบบนี้ในโรมไม่ได้แน่ๆ…

จะเชื่อใครดีเรา

ก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก โดยปรึกษากับเพื่อนสมัยเรียนที่ทำทัวร์เที่ยวกัมพูชากับลาว

เพื่อนบอกว่าไปได้เลย กัมพูชาถนนดีกว่าลาวอีก ไม่มีอะไรให้ห่วง

แต่ว่าจะต้องโดนปรับแน่ๆ ให้เตรียมไว้ 5 ดอลลาร์ก็แล้วกัน

เพราะมอเตอร์ไซค์จากเมืองไทยเข้าไปมันจะต้องผิดกฎหมายอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ กฎหมายของกัมพูชาไม่อนุญาตให้เปิดไฟหน้ารถในตอนกลางวัน ซึ่งมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยไฟหน้าจะเปิดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสวิตช์ให้ปิดได้

กฎหมายบ้านเราเป็นอย่างนี้ กฎหมายบ้านเขาเป็นอย่างนั้น

แต่ก็บอกอีกว่า ถ้าเจอตำรวจกัมพูชาเรียกก็ไม่ต้องจอดก็ได้ ไม่ต้องกลัว เขาไม่มี ว. และไม่ไล่ตาม

แต่ถ้าทหารเรียกต้องจอดนะเว้ย เราก็เผลอถามไป ทำไมทหารเรียกต้องจอดวะ

เพื่อนก็บอก ทหารมีปืนไง สะพายปืนกลอยู่…

โอเค โอเค เข้าใจทหารจะเอาอะไรต้องได้ตามนั้น ทหารมีปืนไง 555555555

(อันนี้พูดถึงเรื่องราวของกัมพูชา ไม่ใช่ของประเทศอื่นที่อยู่ติดกัน 5555555)

ใช้เวลาข้ามแดนที่ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ ประมาณ 20 นาทีก็ข้ามเสร็จเรียบร้อย ข้ามไปได้ เราก็มุ่งหน้าตรงไปเสียมเรียบ ซึ่งระยะทางจากด่าน ประมาณ 170 ก.ม.

ข้ามด่านมาปุ๊บทุกอย่างก็เปลี่ยนปั้บ

เปลี่ยนแรกเลย คือกัมพูชาต้องวิ่งชิดขวา นี่เป็นการขับรถชิดขวาครั้งแรกในชีวิต ไม่รู้ทำไง กลัวจะเผลอวิ่งผิดด้าน กลัวมาตั้งแต่ตอนวางแผนเลย ก็เตรียมตัวเอาโบสีชมพูสะท้อนแสงมามัดไว้ที่เสากระจกมองหลังด้านขวา เพื่อเตือนสติว่า มีอะไรก็ชิดขวาไว้ก่อน

ถนนทางหลวงเบอร์ 68 แล้วตามด้วยเบอร์ 6 เป็นถนน 2 เลนสวน ราดยางเรียบดี ไม่มีหลุมบ่อ แต่หินเป็นเม็ดใหญ่ๆ หน่อย

เลยจากด่านมานิดเดียวรถก็แทบไม่มี เงียบมาก เงียบมากๆ เลยจอดรถ และชื่นชมกับความเงียบงันกับทัศนียภาพที่เป็นธรรมชาติ เงียบดีจริงๆ

จากนั้นก็เริ่มร้อน เลยติดเครื่องและขี่ต่อมา ท่อไอเสียคู่ด้านหลังเปล่งเสียงราวกับคุณบัณฑิต อึ้งรังสี เป็นวาทยกร เพราะพริ้งท่ามกลางความเงียบงัน

ขี่มาสักพัก หิวน้ำ แต่ไม่น่าเชื่อ…มาเจอกับพี่แอ๊ด…ใช่แล้ว พี่แอ๊ด คาราบาว…พี่แอ๊ดมาทำอะไรที่กัมพูชานี่

ร้านน้ำเป็นร้านเล็กๆ คิดว่าคงจะไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะวางตู้คูลเลอร์และใส่น้ำแข็งแช่เครื่องดื่มต่างๆ เอาไว้ มันอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรเลย เงียบงันมาก แล้วก็มีร้านนี้อยู่ แล้วก็มีพี่แอ๊ด คาราบาว (แดง) อยู่ในคูลเลอร์นั้น

แต่ถึงแม้เราจะไม่ (ค่อย) ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่โทษฐานที่รู้จักกัน ก็เลยต้องจัดพี่แอ๊ดไปสักหน่อย จากนั้นก็เดินทางต่อ

ไปต่ออีกสักพัก มือถือก็หมดสัญญาณ แผนที่จากมือถือก็หมด แต่ไม่เป็นไร เราศึกษาเส้นทางเอาไว้แล้ว ก็เดินทางต่อ แต่เส้นทางในแผนที่กับความจริงมันก็ไม่เหมือนกัน เขาอาจจะตัดใหม่ หรือเราอาจจะดูแผนที่ไม่เคลียร์ ก็เลยมีจอดถามเพื่อความแน่ใจ “เสีย,เรียบ” ตะโกนถามแข่งกับเสียงท่อไอเสีย…คำตอบชัดเจน ภาษามือ พร้อมกับรอยยิ้ม ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายข้างหน้า

ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงจากด่าน กับระยะทางประมาณ 170 ก.ม. ประมาณ 14.30 น. ก็มาถึงตัวเมืองเสียมเรียบ

แต่ก่อนจะเข้าเมือง นั่นไง…เจออีกแล้ว พลังไทย เพื่อไทย ปตท. มาพร้อมกับกาแฟ Amazon

แปลกใจจริง ใครๆ ก็บอกไม่น่าไปกัมพูชา

จากนั้นก็เข้าเช็กอินโรงแรมชื่อ…หลับดี!!!

นี่ก็ของคนไทยอีก…

หลับดี มีที่กรุงเทพฯ ตรง BTS สนามกีฬา แล้วก็ที่ภูเก็ต เคยไปพักที่ภูเก็ตครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นโรงแรมที่สนุกดี แล้วก็มาเจอที่นี่ ที่กัมพูชา…ก็ยังคงแปลกใจอยู่ต่อเนื่อง…

บอกน้องที่ Reception ขอดูห้องหน่อย เพื่อความมั่นใจ…

ห้องดีเป็นที่ถูกใจ ก็เลยคุยต่อกับน้องเขาว่ายังไม่แน่ใจจะอยู่กี่คืน ตื่นตอนเช้าจะบอกว่าวันนี้จะอยู่ หรือวันนี้จะเอาต์ละกัน เขาบอกโอเค เราก็เอาของลงจากรถ เช็กอิน อาบน้ำ แล้วก็ชักจะหิวโซ เพราะเมื่อเช้ากินตั้งแต่เช้าที่ 7-11 จากนั้นก็ดื่มแต่น้ำ ไม่ได้กินข้าว

มัวแต่ตื่นเต้นกับการเดินทาง ก็เลยไม่ได้กินข้าวเที่ยง

ผมทานมังสวิรัติ เมื่อมาทริปแบบนี้ ก็คงจะไม่มีอะไรกินมากนัก แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเอามาม่ามาด้วย…แต่เอาวะ ลองเช็กอินเตอร์เน็ตดู…

อาหารไทยก็มี อาหารกัมพูชาก็มี อาหารอิตาเลียนก็มี อาหารอินเดียก็มี

และหลายๆ ที่ยังสามาiถทำอาหารมังสวิรัติได้ด้วย (Vegetarian Friendly…)

โอ้พระเจ้าจอร์จ นี่มันกัมพูชา แดนอันตรายที่ไม่มีใครมาเที่ยวกันมิใช่หรือ แล้วมันอะไรกันนี่

เลือกร้านได้ก็เดินออกไปร้านอิตาเลียนที่ตั้งใจไว้

แล้วก็…Hard Rock Cafe ก็มา…และมากกว่านั้น…เจออาหารไทยอีกร้าน…เดอะพิซซ่าคอมปานี…

เออ มันไม่ใช่อาหารไทยนี่หว่า แต่มันยังไง…เป็นบริษัทของคนไทย และเป็นร้านอาหาร ให้ความรู้สึกคุ้นเคยดี

มาพร้อมกับ Swensen”s อีกต่างหาก

เดินแล้วก็รู้สึกปลอดภัย ผู้คนสนุกสนาน อาหารดี เมื่อทานอาหารที่ร้านอิตาเลียนเสร็จก็กลับโรงแรม โทร.หาภรรยา

นี่เธอ เมืองนี้ที่กัมพูชามันให้ความรู้สึกปลอดภัยดีนะ ถ้าอยากมาบินมาก็แล้วกัน ฉันรออยู่นี่ละ ลองเช็กไฟลต์ดูละกัน จะบินมายังไง…

เจ้าหล่อนตรวจสอบไฟลต์…มีประมาณ 10 ไฟลต์ต่อวันจากกรุงเทพฯ ทั้งไทยสไมล์ บางกอกแอร์เวย์ส แอร์เอเชีย มากันหมด ใช้เวลา 1 ชั่วโมงเหมือนบินไปเชียงใหม่…

ตรวจสอบมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง ที่จอดโอเค สภาพแวดล้อมโอเค มอเตอร์ไซค์โอเค ก็เข้านอนอย่างสบายใจ ก่อนนอนก็คิดไป ดูข่าวการเมือง ดูคำเตือน ดูคนงานกัมพูชาในไทย เมืองอันตรายอย่างกัมพูชานี่ ดูแย่ไปหมด

แต่ไหงไปๆ มาๆ ทั้งพี่แอ๊ด ปตท. เดอะพิซซ่า ไทยสไมล์ หลับดี บางกอกแอร์เวย์ส มากันหมด

ลับลวงพราง Amazing Cambodia มหัศจรรย์กัมพูชาจริงๆ

คลิกอ่านวันที่สองต่อกันเลย